หุ้นไทยใต้อุ้งมือหุ่นยนต์

ในช่วง 4-5 ปีมานี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนเลย ช่วงปี 63-64 ที่โควิดระบาด ดัชนีหลักทรัพย์ก็ยังอยู่ในระดับ 1,450-1,650 จุด


ในช่วง 4-5 ปีมานี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหนเลย ช่วงปี 63-64 ที่โควิดระบาด ดัชนีหลักทรัพย์ก็ยังอยู่ในระดับ 1,450-1,650 จุด แต่หลังโควิดหยุดแพร่ระบาด ประเทศคลายล็อกดาวน์ ระบบเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ตลาดหุ้นฟื้นได้แป๊บเดียว

สิ้นปี 65 ดัชนีปิดที่ 1,668 จุด และหลังจากนั้นก็หลุดลุ่ยมาตลอด สิ้นปี 66 ดัชนีปิดที่ 1,415 จุด สิ้นปี 67 ปิดที่ 1,400 จุด ก้าวข้ามมาสู่ช่วง 5 เดือนแรกปี 68 ดัชนีหลุดต่ำระดับ 1,150 จุดลงมาแล้ว ก้นเหวต่ำสุด ไม่รู้จะหลุดลึกลงแค่ไหน

หลุดระดับ 1,100 จุด มีแนวโน้มสูง ส่วนจะหลุดลึกระดับ 1,000 จุด ก็มีโอกาสจะหลุดเช่นกัน

ระบบนิเวศตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปมากจากอดีต เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดหุ้นอย่างสำคัญ คือ ระบบการซื้อขายความถี่สูง (High Frequency Trading หรือ HFT) ซึ่งซื้อขายหุ้นกันด้วยความเร็วระดับมิลลิวินาที ไม่ใช่ 4-5 วิฯ หรือคำสั่งซื้อขายหนึ่งเป็นนาที

ระบบนี้ หุ่นยนต์บงการเกมและเหนือกว่า “คน” ทุกประการ มีความพร้อมที่จะซื้อและขายได้ตลอดเวลา มีกำไรแค่ช่อง-สองช่อง ก็สามารถหอบเงินกลับบ้านทุกวันได้แล้ว นักลงทุนรายย่อยเสียเปรียบแน่นอน

ระบบ HFT มีการนำมาใช้ในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2561 แต่มานิยมใช้กันมากในช่วงปี 67-68 โดยธรรมชาติของระบบนี้ คือการมุ่งหวังทำกำไรระยะสั้นในตัวหุ้น ไม่ได้สนใจในเรื่องของ P/E P/BV ตลอดจน Yield หรืออัตราผลตอบแทน เฉกเช่นนักลงทุนทรงคุณค่า หรือ VI แต่อย่างใดเลย

ฉะนั้น หุ้นไทยเดี๋ยวนี้ ไม่สามารถจะถือยาวเหมือนก่อนได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นพื้นฐานดี-ปันผลเยี่ยมเพียงใด เพราะตลาดถูกครอบงำด้วยนักลงทุนระยะสั้นมาก ๆ ที่มีอิทธิพลครอบงำตลาดสูงในระดับ 50-60% ทีเดียว เอากำไรกันช่อง-สองช่อง ก็หอบเงินตัวปลิวเป็นรายวันออกจากตลาดไปแล้ว

หุ้นธนาคารพาณิชย์ทุกตัว เป็นหุ้นทีมีผลกำไรต่อเนื่อง ราคาหุ้นก็ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี และมีอัตราผลตอบแทนปันผลสูงในระดับ 7-8% แต่ราคากลับถดถอยราวกิจการใกล้เจ๊ง 

ไม่เหมือนการเล่นหุ้นแต่ก่อน ที่สามารถจะถือหุ้นพื้นฐานในระยะยาวได้ โดยปราศจากการรบกวนจาก “โรบอท ฤทธิ์มีดสั้น”

ขอเรียนย้ำอีกทีว่า ระบบนิเวศของตลาดได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว จากการครอบงำตลาด 50-60% ของหุ่นยนต์ ฉะนั้น การถือหุ้นยาว กลับกลายเป็นอันตรายต่อนักลงทุน

แม้แต่นักลงทุน “ขาใหญ่” ในตลาดทั้งมวล ก็หยุดการซื้อขาย รอดูแมงเม่าสังเวยกองไฟกันหมดแล้ว เพราะสู้อย่างไรก็ไม่ชนะหุ่นยนต์

ข้อดีที่พยายามอ้างกันของระบบ HFT ก็คือ ช่วยสร้างสภาพคล่องทำให้ตลาดมีวอลุ่ม แต่ก็ลืมคิดไปว่ามูลค่าซื้อขาย 3-4 หมื่นล้านบาทในตลาดทุกวันนี้ เป็นการซื้อขายโดยหุ่นยนต์ 50-60% เหลือมูลค่าซื้อขายโดยนักลงทุนทั่วไปแค่ 1.5-2.0 หมื่นล้านเท่านั้น

นักลงทุนรายใหญ่เช่นเสี่ยนั่นเสี่ยนี่ก็หยุดเทรด ส่วนรายย่อยก็ล้มหายตายจาก ไม่ก็ล่าถอยออกจากตลาดไป

มันควรจะมีวิธีการป้องกันไม่ให้ HFT ทำลายตลาด และทำอะไรได้ตามอำเภอใจเช่นทุกวันนี้ อาทิ การดีเลย์คำสั่งซื้อขายระดับหนึ่ง เพื่อลดช่องแคบความได้เปรียบรายย่อย, การมีเครื่องมือตรวจจับคำสั่งปลอม เพื่อหลอกลวงนักลงทุนให้เข้าใจผิดและการลงโทษ

ประการสำคัญที่สุดก็คือ ควรใช้อัตราค่าคอมมิชชั่น HFT ให้เท่ากับรายย่อย ไม่ใช่เรตปัจจุบันซึ่งคิดอัตราต่ำมาก ๆ หลังจุดทศนิยมเป็นศูนย์ตั้งหลายตัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันคำสั่งซื้อขายเทียมโดยไม่รับผิดชอบ

ระบบ HFT ที่ไม่มีการควบคุม คือตัวการทำลายตลาดหุ้นไทยโดยแท้จริง

ชาญชัย สงวนวงศ์

Back to top button