KKPS ชี้ SCC ปรับพอร์ตถือ “CAP” เหลือ 20% รับมือวิกฤตปิโตรเคมี-ลดภาระหนี้

บล.เกียรตินาคินภัทร มอง SCC ลดสัดส่วนถือ CAP เหลือ 20% เป็นการปรับพอร์ตเชิงกลยุทธ์งบการเงิน ลดแรงกดดันรับรู้ขาดทุน และคาดเงินหลังจากการขายสินทรัพย์จะนำไปใช้ลงทุนโครงการใหม่ หนุนธุรกิจโตระยะยาว


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS รายงานว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC กำลังปรับโครงสร้างพอร์ตสินทรัพย์ครั้งสำคัญ โดยเน้นไปที่การลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Chandra Asri (CAP) จาก 30.57% ลงเหลือ 20% ซึ่งบริษัทฯ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าการดำเนินการนี้จะเปลี่ยนสถานะ CAP จากที่เคยเป็น “บริษัทร่วม” ซึ่งต้องบันทึกส่วนกำไรขาดทุนตามวิธีส่วนได้เสีย มาเป็น “เงินลงทุนอื่นๆ” ที่ใช้หลักการบันทึกตามราคาทุน

อีกทั้ง การขายหุ้นครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ De-leverage” หรือปรับลดหนี้สินในงบดุลของบริษัท ส่งผลให้ Net Debt-to-Equity Ratio ดีขึ้น และเตรียมความพร้อมในการจัดสรรทุนสำหรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต ขณะที่นักวิเคราะห์ยังมองว่าปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ SCC ตัดสินใจ คือการที่ CAP ได้ขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมนอกเหนือจากความเชี่ยวชาญดั้งเดิมของ SCC เช่น ธุรกิจกลั่นน้ำมันและสาธารณูปโภค รวมถึงการลงทุนในโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ที่ สิงคโปร์ ซึ่งขัดแย้งกับยุทธศาสตร์ล่าสุดของ SCC ที่ต้องการลดการพึ่งพา “แนฟทา” และหันมาใช้ “อีเธน” เป็นวัตถุดิบหลักมากขึ้น

ด้านการเงินผลจากการปรับโครงสร้างนี้จะทำให้ SCC ไม่จำเป็นต้องบันทึกส่วนขาดทุนจาก CAP แต่จะรับรู้เฉพาะเงินปันผลที่ได้รับจาก CAP แทน เช่น ในไตรมาส 1/2568 CAP ขาดทุนอยู่ที่ 25.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเดิม SCC ต้องรับรู้ขาดทุนราว 7.8 ล้านเหรียญฯ แต่หลังปรับโครงสร้างบริษัทจะไม่ต้องบันทึกตัวเลขนี้

อย่างไรก็ดี SCC อาจรับรู้กำไรหรือขาดทุนจากการขายหุ้น CAP ขึ้นอยู่กับราคาขายในวันปิดดีล ซึ่งมีความท้าทายอย่างยิ่งต่อโอกาสขายสินทรัพย์กลุ่มปิโตรเคมีให้ได้เกินมูลค่าทางบัญชีจากภาวะขาลงลึกของอุตสาหกรรมที่กำลังเกิดขึ้น โดยค่าเฉลี่ย P/B Ratio ปี 2568 ของบริษัทปิโตรเคมีในเอเชียอยู่ที่ 0.6 เท่า เท่านั้น

ขณะที่ สถานการณ์ตลาดปิโตรเคมีโดยรวมยังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะราคาส่วนต่างของโพลิโอเลฟินส์ (Polyolefins Spread) ที่เคยพุ่งสูงในเดือนเมษายน แต่ในเดือนมิถุนายนส่วนต่าง HDPE ลดลงจาก 392 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน เหลือ 259 เหรียญฯ/ตัน และส่วนต่าง PP ลดลงจาก 420 เหรียญฯ/ตัน เหลือ 372 เหรียญฯ/ตัน สาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตที่เคยปิดซ่อมแซมกลับมาเดินเครื่อง ขณะที่ อุปสงค์ยังคงอ่อนแอ สะท้อนภาพรวมหุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ยังถูกให้น้ำหนัก Underperform” ต่อไป

Back to top button