
พาราสาวะถี
เสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือ เจบีซี แต่ดูแล้วแทบจะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นเพื่อรองรับความชอบธรรมตามธรรมเนียมสากลเท่านั้น
เสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือ เจบีซี แต่ดูแล้วแทบจะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นเพื่อรองรับความชอบธรรมตามธรรมเนียมสากลเท่านั้น เพราะทั้งระหว่างการประชุมและหลังเสร็จสิ้นการประชุม เล่ห์เขมรมนต์ขแมร์ยังคงดำเนินเกมที่ตัวเองต้องการอย่างไม่ลดละ ฮุน มาเนต ผู้ลูกประกาศส่งเรื่อง 4 จุดชายแดนที่มีปัญหาขัดแย้งให้ศาลโลกพิจารณา คล้อยหลังกัน ฮุน เซน ผู้พ่อขู่ปิดด่านชายแดนทั้งหมดถ้าไทยไม่ยอมเปิดด่าน
แทบไม่ต้องเดาว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นใครเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบ หรือมีแรงกดดันอย่างหนัก ขณะที่ทางประเทศไทย แพทองธาร ชินวัตร เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำโดย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาริษ เสงี่ยมพงศ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหม พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ และ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช.หารือที่บ้านพิษณุโลก
เป็นการถกถึงผลการประชุมเจบีซี พร้อมกำหนดมาตรการที่จะดำเนินการหลังจากนี้ ท่ามกลางข้อท้วงติงของหลายฝ่ายที่ว่า ทางการไทยเดินเกมช้ากว่าฝั่งกัมพูชา ที่มุ่งโจมตีและดิสเครดิตประเทศไทยต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ต่อนานาประเทศ เป็นการเรียกร้องความสนใจ อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ได้เห็นการตอบโต้การนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จของฝ่ายเขมร ที่ระบุหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ไทยให้การยอมรับการใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ไม่เป็นความจริง
จะว่าไปแล้วไม่ว่าท่าทีของฝั่งสองพ่อลูกตระกูลฮุนจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตระหนกตกใจ ในเมื่อทุกอย่างยึดตามแนวทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น เหมือนกรณีฮุน มาเนต ประกาศยุติการซื้อสัญญาณโทรคมนาคมและกระแสไฟฟ้าจากไทย เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องประเมินร่วมกับทุกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่วงประชุม สมช.จะต้องไปถกกันต่อ โดยมีประเด็นสำคัญ 5 ข้อเพื่อพิจารณาต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องนี้
ช่วยกันดูว่าข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายสัญญาณโทรคมนาคมและกระแสไฟฟ้าไปยังกัมพูชาเป็นอย่างไร การดำเนินการภายหลังที่รัฐบาลกัมพูชามีมาตรการยุติการซื้อสัญญาณโทรคมนาคมและกระแสไฟฟ้าจากไทยจะต้องทำกันแบบไหน ผลกระทบจากมาตรการของฝ่ายกัมพูชา ข้อกฎหมายและอุปสรรคการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง และข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินการในระยะต่อไป ในกรณีนี้มองในแง่ของผลกระทบต่อภาคเอกชนไทย กับผลเสียที่เกิดขึ้นทางคนกัมพูชา น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ขณะเดียวกัน เรื่องนี้ตระกูลฮุนก็จะได้สองเด้งคือ ผลประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม หากยึดตามแนวทางที่แพทองธารได้ใช้มาตลอดคือ ฝ่ายบริหารก็ประเมินสถานการณ์ และเดินเกมพูดคุยตามมารยาททางการทูตตามปกติ ส่วนภาคปฏิบัติเป็นหน้าที่ของทางกองทัพที่จะพิจารณาจากสถานการณ์เฉพาะหน้า แล้วดำเนินมาตรการตอบโต้กรณีอีกฝ่ายกระทำการรุกล้ำอธิปไตย หรือแสดงให้เห็นว่ากำลังจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจหากไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวนำ ทุกอย่างสามารถจัดการได้อยู่แล้ว
ท่าทีและแนวทางของกองทัพนั้น อ่านจากท่วงทำนองของ พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้นำเจรจากดดันจนฝั่งกัมพูชายอมถอนทหารจากช่องบกที่ไปขุดคูเลตไว้ พอจะเดาได้ว่า เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุที่ว่า ฝ่ายไทยได้ทำตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเอ็มโอยู 2543 ที่ฝั่งกัมพูชาละเมิดโดย สร้างกาสิโน สร้างอาคารสิ่งปลูกสร้าง ตัดเส้นทาง ปลูกพืชไร่กว่า 600 ครั้ง ฝ่ายไทยประท้วงแต่ได้รับความร่วมมือน้อยมาก ล่าสุด เผาศาลาตรีมุข นำกำลังเข้าขุดคูเลตล้ำอธิปไตยไทย เจรจาก็ไม่ยอมถอนนำมาซึ่งการปะทะ ท้ายสุดกดดันทุกทางกว่าจะถอนกำลังออกไป คำถามคือเพื่อนบ้านที่ดีควรทำหรือไม่
ความเห็นที่ต้องขีดเส้นใต้ของรองแม่ทัพภาคที่ 2 ก็คือ เอ็มโอยู 43 ข้อ 8 ระบุว่า ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา แต่คุยกันดี ๆ แล้วทำไมต้องฟ้องศาลโลก? ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “เป็นเด็กที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม บอกกล่าวก็ดื้อด้าน ไม่ต้องมีข้อตกลงใด ๆ ดีไหม เอาให้เละก่อนโต” หากเป็นมวยไทยแค่รุ่นพี่แยกเขี้ยว กระทืบเท้าขู่ก็ขาสั่นแล้ว แต่บังเอิญว่างานนี้เป็นกุนขแมร์เลยขอกร่างไว้ก่อน ซึ่งเป็นอะไรที่คนดูไม่ได้ให้ราคาแม้แต่น้อย
ปรับ ครม.จากที่คึกคักอยู่ฝั่งเดียวมาได้สองสามสัปดาห์ ทำท่าว่าจะไม่เป็นไปอย่างที่มีการโยนหินถามทางมาเสียแล้ว เมื่อปลายสายที่ต้องการจะขอเก้าอี้คืนก็ทำตัวเป็นหินพร้อมบวก ไม่ใช่เพียงการพลิกเกมดึง สส.จากพลังประชารัฐและไทยสร้างไทยมาเพิ่มมูลค่าเท่านั้น แต่หลังบ้านดูเหมือนว่า อนุทิน ชาญวีรกูล จะเลือกใช้ตัวช่วยที่แม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องยอม ไม่ต้องพูดถึงแพทองธาร เพราะการปรับ ครม.ไม่ใช่ความต้องการของตัวเองตั้งแต่ต้น เป็นการทำตามใจพ่อนายกฯ
ประเมินจากถ้อยแถลงของ ดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกเพื่อไทยล่าสุด ทางพรรคจะพูดคุยกำชับลูกพรรคให้ระมัดระวังท่าทีมากขึ้น หลังให้ข่าวไล่เสี่ยหนูพร้อมภูมิใจไทยพ้นรัฐบาล พร้อมยอมรับว่าหากแยกทางกันจริง 70 กว่าเสียงที่หายไปเป็นเรื่องน่ากังวล ซึ่งคงไม่เดินไปถึงจุดนั้น สอดรับกับ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล สส.พรรคนายใหญ่ แตะเบรกลูกพรรคอย่ากดดันเรื่องปรับ ครม. เป็นอำนาจนายกฯ เชื่อสามารถพูดคุยกับพรรคสีน้ำเงินได้
ท่าทีที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ย่อมมีสัญญาณที่ถูกส่งมาจากผู้มีอำนาจที่แท้จริงของพรรค ไม่เพียงแค่ฝ่ายที่ร้องขอให้คืนเก้าอี้ออกอาการแข็งขืนเท่านั้น พรรครวมไทยสร้างชาติที่เดิมทีว่าจะเข้าทางเหมือนกรณีย่อยสลายพลังประชารัฐ ทำท่าว่าจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ประกอบคดีชั้น 14 ในมือของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยืดเวลาออกไป จึงเป็นจังหวะของการพบปะ แลกเปลี่ยน และต่อรอง โดยทั้งทักษิณและอนุทิน ก็รู้อยู่แล้วยังไงต้องรักกัน ตัดขาดกันไม่ได้
อรชุน