
4 โบรกเตือน “การเมืองเดือด” ฉุดเศรษฐกิจ-งบปี 69 ชะงัก แนะเลี่ยง Domestic play
4 โบรก ประเมิณวิกฤติการเมืองไทย กระทบภาพรวมเศรษฐกิจ พ.ร.บ งบปี 69 ส่อล่าช้า หลังรัฐบาลเสี่ยงไร้เสถียรภาพ กระทบตลาดหุ้น ส่วนกลยุทธ์แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่ม Domestic play ปรับพอร์ตสู่ Global & Defensive ชู IVL, SCGP, RATCH และ EGCO
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์การเมืองไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะร้อนแรงอีกครั้ง หลังเกิดกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างผู้นำไทยกับอดีตผู้นำกัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติที่อาจนำไปสู่การยุบสภาซึ่ง 2 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ 1.) การปรับคณะรัฐมนตรี โดยจะเรียกคืนตำแหน่ง รมว.มหาดไทย จาก พรรคภูมิใจไทย นำไปสู่การถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล
2.) ประเด็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.68 โดยบทสนทนาแสดงถึงความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไทย การแทนตัวเองในฐานะหลานและแสดงความนับถือต่ออีกฝ่ายในฐานะลุง รวมถึงการรับปากจะดำเนินการตามที่สมเด็จฮุนเซนร้องขอ คลิปดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าการวางตัวไม่เหมาะสมต่อสถานะผู้นำประเทศ และมีเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา
ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ ดังนี้ 1.) เปลี่ยนนายกฯเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล โดย เพื่อไทย และภูมิใจไทยยังคงร่วมรัฐบาล โอกาส 40%
2.) ยุบสภา โอกาส 30% โดยเฉพาะหากพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมใจกันถอนตัว, 3.) เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ โอกาส 20% นายกฯ อาจพยายามบริหารต่อ แต่จะเผชิญแรงต้านและความเสี่ยงต่อการฟ้องร้องถอดถอน อีกทั้ง การเปลี่ยนนายกฯ อาจไม่ได้รับเสียงรับรองจากรัฐสภา (ส.ส. + ส.ว.)
4.) สลับขั้ว (พรรคประชาชน + ภูมิใจไทย) โอกาส 10% พรรคประชาชนอาจเข้าร่วมรัฐบาลเฉพาะกิจ 6-12 เดือน เพื่อให้กลไกงบประมาณไม่สะดุดและเตรียมเลือกตั้ง ไม่ว่าผลจะออกทางไหน ก็ดูไม่ค่อยดี
โดยทั้งฉากทัศน์ที่ 1, 3 และ 4 แม้สามารถแก้วิกฤติการเมืองระยะสั้นได้ แต่จะเจอข้อจำกัดในการผลักดันนโยบาย ส่วนฉากทัศน์ที่ 2 (ยุบสภา) จะทำให้รัฐบาลเข้าสู่สถานะรักษาการ เสี่ยงที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะล่าช้า ซึ่งกระทบต่อการเบิกจ่ายและเศรษฐกิจในช่วงที่โลกเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้า
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะหลีกเลี่ยงกลุ่ม Domestic ซึ่งเป็นกลุ่มที่อิงการใช้จ่ายภาครัฐ (รับเหมาก่อสร้าง, สื่อสารขนาดเล็ก) และกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศ (ค้าปลีก, ธนาคาร, การเงิน) มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในทุกฉากทัศน์ที่ไม่เป็นบวก
ส่วนกลุ่มหุ้นที่อิงเศรษฐกิจต่างประเทศ (พลังงาน, บรรจุภัณฑ์, ปิโตรเคมี) และกลุ่มสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า) ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำด้านกำไร มีแนวโน้ม Outperform ตลาดในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง
ด้านผลกระทบต่อ GDP ความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบ ประมาณ หรือ ขาดมาตรการที่เหมาะสมที่จะบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีการค้า จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับลด GDP ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายภายนอกต่างๆ เรามองหุ้นกลุ่มอิงปัจจัยนอกประเทศ อาทิ IVL, SCGP, RATCH, EGCO จะได้รับผลกระทบจำกัดมากที่สุด
ภาพรวมกลยุทธ์ นั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,080-1,150 จุด เข้าสู่โหมดระมัดระวัง ซึ่งแนะนำหมุนเงินลงทุนถือเงินสด หรือหมุนเงินลงทุนมายังกลุ่ม External และ Defensive อาทิ IVL, SCGP, RATCH และ EGCO หากราคาปรับลดลงมาตามตลาด เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศมากนัก แนวรับ 1,080 จุดและแนวต้าน 1,150 จุด สัดส่วนลงทุน : เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า การเมืองไทยยังคลุมเครือไม่มีทางออกที่แน่ชัดในช่วงนี้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาจากคลิปเสียงที่เผยแพร่ออกมาผ่านสื่อต่างๆ เมื่อวานนี้ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความสั่นคลอนของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถแก้ไขและเรียกความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยได้ ผ่าน 4 กรณี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.) การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นแนวทางที่เบาที่สุด เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยอาจมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อให้พรรคร่วมพอใจ คาดใช้เวลาราว 7-14 วัน หากมีความเห็นร่วมกันเร็ว
2.) การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี หากพรรคร่วมถอนตัวหรือเสียงในสภาไม่พอ อาจมีการเสนอชื่อบุคคลใหม่เป็นนายกฯ ซึ่งต้องผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องได้เสียง ตั้งแต่ 248 เสียงขึ้นไป (มากกว่ากึ่งหนึ่ง) คาดการณ์ใช้เวลาราว 30-45 วัน
3.) การยุบสภา หากความขัดแย้งดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ อาจนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน เปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ผ่านการเลือกตั้ง โดยรวมกระบวนการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลาประมาณ 75-105 วัน
4.) การรัฐประหาร มักเกิดขึ้นเมื่อการเมืองถึงทางตัน มักตามมาด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจหรือคณะรักษาความสงบ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงน่าจะสร้างแรงต้านจากฝั่งประชาชนและนานาชาติสูง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ หากการเมืองในประเทศเกิด OVERHANG และยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขชัดเจน คาดการณ์ทำให้งบประมาณปี 69 ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้วติดขัดและไม่สามารถโหวตพิจารณาวาระ 2-3 ได้ ซึ่งทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลยุคนายเศรษฐา ทวีสิน ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกดดันให้ GDP ในปี 68-69 อาจโตต่ำกว่าประมาณการที่หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้
ในแง่มุมของผลกระทบของความไม่แน่นอนทางการเมือง จากรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่าส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลต่อเศรษฐกิจในสาขาการโรงแรมมากที่สุด รองลงมาเป็น สาขาการก่อสร้าง สาขาอสังหาริมทรัพย์ และสาขาบริการขนส่ง ตามลำดับ นอกจากนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการพิจารณางงบประมาณปี 69 เลื่อนออกไปได้ หากเสถียรภาพในฝั่งรัฐบาลอ่อนแอลง ดัชนีความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย
ส่วนมุมของผลตอบแทนตลาดหุ้น หรือ SET Index ก่อน-หลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองมักผันผวนช่วงสั้น แต่ระยะถัดไปมักปรับตัวขึ้นได้ดี แต่อย่างไรก็ตามภาวะการเมืองในปัจจุบันคล้ายคลึงกับความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต ณ ปี 2549 (ยุบสภา) และ 2556 (ยุบสภา) ที่ 1 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ SET ปรับตัวลงราว -1.5% ถึง -6% บ่งชี้ว่า SET มีโอกาสผันผวนต่อ ส่งผลให้ VOLUME อาจหายลงไปอย่างมีนัยฯ และรอปัจจัยหนุนใหม่ในระยะถัดไป โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ระดับ 1,085-1,110 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด แนะนำชะลอการลงทุนกลุ่ม Domestic play จากการรับปัจจัยเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาลหลัง พรรคภูมิใจไทยลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ เนื่องจากจำนวนเสียงสส. ของฝ่ายรัฐบาลเหลือ 257 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านอยู่ที่ 234 เสียง ห่างเพียง 23 เสียง ซึ่งมี สส.ที่พ่วงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่อีกถึง 10 คน
นอกจากนี้ พรรคร่วมรัฐบาลอื่นจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อตัดสินใจในสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดัน sentiment การลงทุนในระหว่างวันหากมีผลสรุปว่าจะออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างไรก็ดี หากไม่มีการออกเพิ่มของพรรคร่วมฯ สิ่งที่ต้องติดตามในระยะถัดไปคือ การคุมเสียง และเสถียรภาพงานสภาฯให้ดี เพราะอาจถูกเล่นเกม “ล่มประชุม” โดยเฉพาะการล้มกฎหมายสำคัญอย่างร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่จะพิจารณาวาระ 2-3 ในเดือนส.ค. และ ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เป็นต้น ซึ่งตามธรรมเนียมการเมือง นายกฯ อาจต้องลาออกหรือยุบสภาหากไม่ได้รับการอนุมัติ
ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมิน scenario การเมืองไทยต่อ SET Index ในประเด็นการพูดคุยของกรรมการบริหารพรรคร่วมในวันนี้ ได้แก่ และพรรคประชาธิปัตย์ (21 เสียง) รวมถึงพรรคร่วมอื่นๆ ที่หากลาออกจากพรรคร่วมฯ จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันหมดไป และนำไปสู่การยุบสภาหรือการลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ดังนี้
1.) กรณีพรรคร่วมยังอยู่ครบ ไม่มีลาออกเพิ่ม ยังคงทำให้เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ คาดตลาดแกว่งตัวในกรอบ 1076-1100 จุด เพราะยังมีความกังวลในเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะถัดไป 2.) กรณีพรรคร่วมฯลาออก จนเสียงรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน คาดตลาดต่ำกว่า 1076 จุด เนื่องจากจะเกิดสูญญากาศทางการเมืองในระยะสั้น นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากการปรับลดน้ำหนักของ FTSE ในวันพรุ่งนี้ 20 มิ.ย.
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย มาสู่ความเสี่ยงหลักการผ่านร่างงบประมาณปี 2569 ที่กำลังรอพิจารณาวาระที่ 2-3 ส.ส. หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ช่วงถัดไป เราคาดการเมืองน่าจะเดินหน้า 3 ฉากทัศน์
1.) นายกฯประกาศลาออก และแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เราคาดว่าจะเป็นบวกระยะสั้นต่อตลาดที่ความเสี่ยงร่างงบประมาณปี 2569 จะกระทบจะต่ำลง แต่ยังน่าจะมี Overhang ระยะกลาง
2.) ยุบสภา เราคาดว่าจะกระทบตลาดระยะสั้น หากพิจารณาการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นและได้รัฐบาลช่วงปลายปี 68 จะกระทบกรอบการพิจารณาต่องบประมาณปี 2569 แต่จะฟื้นตัวจากความชัดเจนที่เกิดขึ้น ก่อนที่ภาพระยะกลาง ตลาดให้น้ำหนักคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับ เพื่อประเมินเสถียรภาพรัฐบาลใหม่
3.) รัฐบาลปัจจุบันเดินหน้าต่อ เราประเมินเป็นกรณีที่สร้าง Overhang กับตลาดจนกว่าจะมีความชัดเจนด้านใดด้านหนึ่งออกมาเพิ่มเติม
สำหรับผลกระทบงบประมาณล่าช้าจะเกิดขึ้นในส่วนการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ (15% และ 6%ของ GDP) รวมถึงองค์ประกอบอื่น เช่น การบริโภค (61% ของ GDP) รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน(18% ของ GDP) รวมถึงกำไรตลาดที่มีสัดส่วนหุ้น Domestic (ราว 60% ของทั้งหมด) ทั้งนี้ทุกๆ 5% ของกำไรหุ้น Domestic ที่ลดลงจากผลกระทบการเมืองจะสร้าง Downside กำไรตลาดราว 2.6 บาท (3.0% จากคาดการณ์ปัจจุบันที่ 87 บาท) และกระทบเป้าหมาย SET ที่ 40-41 จุด (จากเป้าหมายปัจจุบันที่ 1,370 จุด)
ส่วนภาพตลาด เราประเมิน SET Index ที่เริ่มสะท้อนความกังวลการเมืองตั้งแต่ 13 พ.ค.และปรับตัวลงแล้ว -10% น่าจะสะท้อนความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควรแล้ว กอปรกับ สถานการณ์ที่ใกล้มีความชัดเจนจากวานนี้ที่เริ่มมีจุดเปลี่ยน ทำให้ประเมิน Risk Sentiment น่าจะอยู่ในขาปลายแล้ว กลยุทธ์ระยะสั้นเน้นสลับพักเงินกลุ่ม Global Plays ขณะที่ทยอยหาจังหวะสะสมหุ้น Domestic หลังตอบรับความเสี่ยงล่าสุดเพิ่มเติม