
แนะสอย 4 หุ้นแบงก์ใหญ่ รับ “กนง.” คงดอกเบี้ย 1.75%
กนง. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย 1.75% ด้วยเสียง 6 ต่อ 1 โบรกมองบวกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังแรงกดดันต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลง แนะเก็บ BBL, KBANK, KTB และ SCB
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่าที่ประชุม กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี ขณะที่ กรรมการ 1 ท่าน เห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.50
โดยให้เหตุผลการคงอัตราดอกเบี้ยว่าแม้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกปี 2568 จะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ จากภาคผลิตและการส่งออก แต่แนวโน้มอนาคตยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงควรให้ความสำคัญกับจังหวะเวลา ประสิทธิผลของนโยบายการเงินและเพื่อรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด
อีกทั้ง ยังให้มุมมองคาดการณ์เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2568 จากปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ, การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามรายได้และความเชื่อมั่นที่ลดลง รวมถึงภาคการท่องเที่ยว แม้รายรับจะยังขยายตัวจากค่าใช้จ่ายต่อหัว แต่นักท่องเที่ยวปรับลดลง
จากข้อมูลดังกล่าวสำนักข่าวหุ้นธุรกิจได้รวบรวมบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้ความเห็นต่อประเด็นมติ กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาทิ บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน ระบุว่า ฝ่ายนักวิเคราะห์มองเป็นปัจจัย (Sentiment) “เชิงบวก” ต่อหุ้นในกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากการคงอัตราดอกเบี้ยโยบายข้างต้น จะเป็นการช่วยลดแรงกดดันต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร สำหรับหุ้นที่แนะนำในหมวดลงทุน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB
ในทางกลับกันมองเป็นปัจจัย “เชิงลบ” ต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและต้นทุนของภาคธุรกิจ รวมถึงหุ้นในกลุ่มการเงินตามต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มคงตัวตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ก่อนหน้าการประชุม กนง. ว่าฝ่ายนักวิเคราะห์และตลาดมอง กนง. จะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% อย่างไรก็ดี ความคาดหวังในการ “ลด” ดอกเบี้ยมีสูงขึ้นจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
โดยกลยุทธ์ลงทุนแนะนำ KBANK เนื่องจากไม่ว่าผลของการประชุม กนง. จะ “คง” อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% หรือ “ลด” อัตราดอกเบี้ยมาที่ 1.50% เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลกระทบที่ต่ำกว่าในปัจจุบันในแง่ของรายได้ดอกเบี้ย หรือ Net Interest Income (NII) จากการเติบโตของสินเชื่อ (loan growth) ในช่วงที่ผ่านมาของกลุ่มค่อนข้างรัดกุมจากเศรษฐกิจที่ตึงตัว
ขณะเดียวกันมุมมองในอนาคตจาก บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH มองว่ามีโอกาสที่ กนง. จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยอีก 2 ครึ่งในครึ่งปีหลัง 2568 จึงมองเป็นโอกาสสะสมหุ้น 1.) กลุ่ม Consumer Finance อาทิ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR
2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า จากการได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง และ Valuation re-rating อาทิ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO, บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH, และ 3.) กลุ่ม External Play ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจในประเทศจำกัด อาทิ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP
ฝ่ายนักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่า กนง. รอบนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 6 ต่อ 1 แต่ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินเศรษฐกิจไทยจะมีความท้าทายในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จากทั้งปัจจัยในประเทศที่การใช้จ่ายชะลอตัว และปัจจัยภายนอกจากความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ แม้ในการประชุมครั้งนี้ กนง.จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เราประเมิน กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังอีกราว 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กนง. ได้ปรับประมาณการ GDP ของไทยปี 2568 ขึ้นจาก 2.0% เป็น 2.3% จากการเร่งการส่งออกและภาคการผลิตที่ดีกว่าคาด แต่ปรับประมาณการ GDP ปี 2569 ลงจาก 1.8% เหลือ 1.7% เพราะคาดว่าผลของมาตรการภาษีการค้าสหรัฐจะเห็นชัดเจนขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ แม้ กนง.จะปรับประมาณการ GDP ปีนี้ขึ้น แต่โดยหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกดีกว่าคาด ขณะที่เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะมีความท้าทายมากขึ้น