
พาราสาวะถี
ภาพของม็อบไล่ แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กับจำนวนคนใกล้เคียง 2 หมื่นคน ถามว่าน่าตื่นเต้นหรือไม่ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย
ภาพของม็อบไล่ แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กับจำนวนคนใกล้เคียง 2 หมื่นคน ถามว่าน่าตื่นเต้นหรือไม่ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย การประกาศยกระดับของแกนนำผู้ชุมนุมของนายกรัฐมนตรีหญิงไม่ลาออกก็เป็นไปตามสเต็ป เพราะทุกอย่างผ่านกระบวนการจัดตั้ง วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาแล้ว ต่อให้นายกฯ ลาออก คนพวกนี้ก็ไม่หยุดจะหาช่อง หาเหตุเพื่อรุกไล่ต่อ เนื่องจากเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ให้อุ๊งอิ๊งแสดงความรับผิดชอบ แต่มีมากกว่านั้น
หากจำกันได้ก็พวกขาประจำ คนหน้าเดิม ที่เพิ่มเติมคือ อดีตหัวขบวนเสื้อแดงที่เป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีเหล่านี้ไม่ใช่หรือ ที่ชุมนุมกดดันเรียกร้องกระทั่งรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ยุบสภา รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา ทว่าก็มีการเดินหน้าขยายผล จนสุดท้ายนำไปสู่การรัฐประหารโดยเผด็จการ คมช.เมื่อ 19 กันยายน 2549 และ เผด็จการ คสช.เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แต่สองหนนั้นรู้กันอยู่แล้วว่า ใครอยู่เบื้องหลัง และมีการวางแผนกันไว้อย่างไร หนนี้อาจแตกต่างปลายทางยังเหมือนเดิม ทว่าพลังที่หนุนหลังไม่เหมือนเดิม
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีผู้สนับสนุนทางด้านทุน ซึ่งจะไม่มหาศาลเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา ขณะที่การระดมมวลชน หากมีการยกระดับต้องดูว่าฝ่ายที่รับปากจะส่งคนมาเป็นแนวร่วมนั้น จะทุ่มทุนขนาดไหน หากหนสองหนสามยังอยู่ระดับสองหมื่นคนเหมือนเดิม เท่ากับว่าจัดตั้งกันได้เท่านี้ เดิมทีคาดหมายกันว่า ที่ ฮุน เซน หลอกให้ฟังการไลฟ์สดกว่า 4 ชั่วโมง จะมีประเด็นเด็ดอะไรที่พาดพิงถึงทักษิณ แล้วช่วยให้ม็อบจุดติด เพราะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก็หวังกันว่าจะมีเหตุอื่นที่เข้ามาช่วยสร้างกระแส
ที่คาดหวังกันไว้เวลานี้คงหนีไม่พ้นปมคลิปเสียงแพทองธารคุยกับฮุน เซน ซึ่งรอกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ จะรับเรื่องไว้เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย แล้วสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้าเป็นไปในเชิงลบก็เข้าทางพวกแกนนำม็อบ และอาจจะช่วยสร้างแนวร่วมในการนัดหมายชุมนุมครั้งต่อ ๆ ไปได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องดูการปรับ ครม.ที่โผใกล้คลอดเต็มที ยังมีพวกหวังจะเกิดแรงกระเพื่อมอันเนื่องมาจากบางพรรคการเมืองไม่พอใจแล้วถอนตัว อันจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทันที
มีข่าวล่าสุดที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แสดงความไม่พอใจ ต่อการที่นายกฯ ส่งชื่อ สุชาติ ชมกลิ่น โยกจากรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ไปเป็นช่วยมหาดไทย โดยไม่ได้แจ้งต่อหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจมองว่าเป็นเรื่องการไร้มารยาท แต่ความเป็นจริงก็เห็นกันอยู่ทนโท่ ข่าวคราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แม้แต่หัวหน้าพรรคยังไม่กล้ายืนยันว่าเสียง สส.ที่ประกาศตัวเป็นกลุ่ม 18 ยังสนับสนุนตัวเองอยู่หรือไม่ เช่นนี้แล้วจะให้ผู้นำรัฐบาลและพรรคแกนนำเข้าใจว่าอย่างไร
จึงมีการเคลียร์ใจกันไปเรียบร้อย ไม่ใช่แค่เหตุผลของพรรคแกนนำที่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น ยังมีการพูดถึงปมปัญหาเรื่องหุ้นในส่วนภรรยาของเสี่ยตุ๋ยด้วย ถ้านายกฯ ติดใจกรณีนี้ก็จะมีผลต่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของเจ้าตัวเหมือนกัน มันจึงเหมือนต่างฝ่ายต่างมีแผล การพบกันครึ่งทางจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เรื่องที่ว่าจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเป็นไปได้ยาก เพราะโอกาสได้ดูแลกระทรวงเกรดเอ มีช่องทางสร้างพลังเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปหาไม่ได้อีกแล้ว
ขณะที่เพื่อไทยเก้าอี้ว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อเลือกที่จะเว้นว่างไว้ โดยให้ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ที่จะไปนั่งรองนายกฯ ควบว่าการมหาดไทยรักษาการไปก่อน พร้อมให้ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหม บริหารงานแทน เท่ากับเป็นการยืนยันคนที่จะมากุมบังเหียน หนีไม่พ้น “บิ๊กแก้ว” พลเอก เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งก็เป็นอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 21 รุ่นเดียวกับ พลเอก สุนัย ประภูชะเนย์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก คนที่ถูกคาดหมายว่าจะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ในตอนแรกนั่นเอง
เหตุผลที่ต้องรอเวลา เนื่องจากบิ๊กแก้วเคยเป็น สว. ตามรัฐธรรมนูญนั้นเมื่อพ้นจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภา จะต้องเว้นวรรคไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 2 ปี เมื่อนับเวลาที่เจ้าตัวพ้นจากเก้าอี้เนื่องจากเกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2566 ครบกำหนดสองปีก็คือ 30 กันยายนนี้ หรืออีก 3 เดือนข้างหน้า ทำให้ผู้มีอำนาจของพรรคแกนนำเลือกที่จะรอ ใช้สูตรเว้นว่างเก้าอี้ว่าการกระทรวงกลาโหมไว้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ช่วยยืนยันว่าเหตุใดปมคลิปเสียงแพทองธารที่หลุดมา จึงสามารถทำความเข้าใจกับกองทัพได้อย่างรวดเร็ว
ความมั่นคงของประเทศ ความสามัคคีของทุกฝ่ายเป็นเหตุผลหลักถูกส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้มือประสาน ตัวกลางในการเชื่อมโยงทำความเข้าใจก็ยากที่จะสร้างความเข้าใจกันได้แบบฉับพลันทันที บิ๊กแก้วถือว่าเป็นน้องรักที่ไว้วางใจของ “บิ๊กแดง” พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก บทบาทบารมีของทั้งสองคนแม้ว่าจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ถือว่ายังเป็นที่ยอมรับของกองทัพ รวมทั้งสายสัมพันธ์ทางการเมืองโดยเฉพาะกับผู้มีบารมีของพรรคแกนนำรัฐบาล
ไม่เพียงแต่เรื่องสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพที่ต้องแข็งแกร่งแนบแน่นเท่านั้น การวางตัวบิ๊กแก้วเที่ยวนี้ ยังหมายถึงการผูกไมตรี สร้างความไว้วางใจ กับเหล่าตัวตึงของฝ่ายอนุรักษนิยมด้วย การแตกหักกับภูมิใจไทยไม่ใช่เพียงแค่มั่นใจว่าเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลมั่นคงพอที่จะทำให้รัฐบาลยืนระยะได้นานที่สุด หากแต่ต้องเชื่อมั่นด้วยว่า อำนาจที่ทรงพลังซึ่งเคยรวมหัวล้มรัฐบาลของตระกูลชินวัตรมาถึงสองครั้งสองหน ยังคงพร้อมที่จะสนับสนุนรัฐบาลของลูกสาวทักษิณต่อไป
เห็นการก่อรูปของม็อบเหมือนอย่างที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีโพสต์เตือนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อเรียกร้องและเนื้อหาการปราศรัยทำให้เห็นจุดหมายแต่น่ากังวลเรื่องปลายทาง ยังไงการรวมหัวรวมตัวกันของม็อบต่างเผ่าพันธุ์ย่อมมีเป้าหมายที่ไม่ใช่หนทางตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ถ้ายังหันหน้าเข้าหากันไม่ได้ก็ต้องเอาหลังพิงกัน ปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่ยอมรับการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดทางให้รัฐประหาร เพื่อรักษาไว้ทั้งเอกราชและอำนาจประชาชน
อรชุน