“พงศ์ภัทร” มอง SET รีบาวด์ แนะ 5 หุ้นเด่น “กำไรโต-ปันผลสูง”

“พงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์” มองตลาดหุ้นไทยวันนี้รีบาวด์หลังร่วงหนักเมื่อวันศุกร์ แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 1 ก.ค.นี้ พร้อมชู 5 หุ้นเด่น เน้นกำไรโต-ปันผลสูง


นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ นักกลยุทธ์การลงทุน Research Department, InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เปิดเผยในรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (30 มิถุนายน 2568) ว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงต้นสัปดาห์นี้ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังจากเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา พร้อมประกาศจุดยืนเตรียมยกระดับการเคลื่อนไหว หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง ซึ่งประเด็นนี้กลายเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนจับตามอง โดยเฉพาะก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดพิจารณากรณีสำคัญในวันที่ 1 กรกฎาคม

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลงแรงกว่าภูมิภาค ขณะที่ในวันนี้แม้อาจมีแรงซื้อกลับเข้ามาบ้างจากปัจจัยภายนอกที่คลี่คลาย อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐทำจุดสูงสุดใหม่ และตลาดเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวบวก แต่ความไม่แน่นอนจากศาลรัฐธรรมนูญยังคงเป็น overhang สำคัญ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการฟื้นตัวของดัชนียังขาดความต่อเนื่อง

ด้านเทคนิค ดัชนีมีโซนแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,067–1,075 จุด ซึ่งเคยเป็น gap ที่เปิดไว้ โดยปกติบริเวณนี้จะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากคำวินิจฉัยของศาลและสถานการณ์การชุมนุมยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกรณีที่มีการยกระดับความเคลื่อนไหว หากศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แต่ยังไม่มีการลาออก

อีกประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจคือความล่าช้าในการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 หากไม่สามารถประกาศใช้ทันภายในเดือนสิงหาคมนี้ อาจฉุด GDP หดตัวราว 0.3–0.5% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง จากผลของสงครามการค้าและภาษีนำเข้า

ขณะเดียวกัน ไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีกำหนดเดินทางไปเจรจาในสัปดาห์นี้ โดยสถานการณ์การเมืองในประเทศอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ หากส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

สำหรับ worst-case scenario ที่มีการประเมินว่าอาจมีความพยายามผลักดันให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารนั้น แม้เป็นเหตุการณ์ไม่คาดหมาย แต่สถิติในอดีตชี้ว่าตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวลงตอบรับในเชิงลบ ซึ่งจะมากน้อยขึ้นกับการ “price in” ของตลาดในขณะนั้น โดยขณะนี้มีการสะท้อนความเสี่ยงบางส่วนแล้ว

ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้เน้นหุ้นที่มีเงินปันผลระหว่างกาลดี อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT หรือกลุ่มที่มีกำไรไตรมาส 2 เด่นทั้งจากปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อนหน้า เช่น ADVANC, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG

พร้อมมองว่า ADVANC คาดว่าจะประหยัดต้นทุนราว 2,300 ล้านบาทต่อปีจากการประมูลคลื่น ขณะที่ TRUE ประหยัดได้ราว 4,200 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นแรงสนับสนุนกำไรในไตรมาสต่อไป

Back to top button