
พาราสาวะถี
ประเดิมวันแรกของครึ่งปีหลัง มีเรื่องให้ลุ้นระทึกทางการเมืองทันที เพราะวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีการนัดประชุม
ประเดิมวันแรกของครึ่งปีหลัง มีเรื่องให้ลุ้นระทึกทางการเมืองทันที เพราะวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีการนัดประชุม ต้องติดตามจะมีการหยิบเอาวาระที่ มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องให้พิจารณา แพทองธาร ชินวัตร กระทำฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว จากกรณีคลิปเสียงคุยกับ ฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา มาพิจารณาหรือไม่ บทสรุปมีแค่สองทางเท่านั้น
หนึ่งคือยกคำร้อง เป็นอันว่าจบกัน สองคือรับไว้พิจารณาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ที่กองแช่งลุ้นกันคือ จะมีคำสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่ แนวโน้มย่อมเป็นอย่างหลัง และมีความเป็นไปได้ว่าจะตามมาด้วยการให้แพทองธารหยุดการปฏิบัติหน้าที่ นั่นจึงเป็นสาเหตุของข่าวที่ล้อมากับการปรับครม. นายกฯ หญิงจะนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอีกหนึ่งตำแหน่ง อย่างน้อยก็ยังจะได้อยู่ร่วมวงประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป เปลี่ยนจากนั่งหัวโต๊ะมาเป็นผู้ร่วมประชุมเท่านั้น แต่อำนาจยังเหมือนเดิม
เท่ากับเป็นการแก้เกมกันไปทีละเปลาะกับจังหวะมรสุมที่รุมเร้าเข้าใส่ในช่วงเวลานี้ ซึ่งจะว่าไปกรณีคำสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือมีนัยอะไร ถ้าจำกันได้ในยุคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ว่ากันว่ามีอำนาจล้นฟ้ายังเคยถูกสั่งลักษณะนี้มาแล้ว จากกรณีที่ สส.ฝ่ายค้านเวลานั้นเข้าชื่อยื่นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่าเกิน 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่
ทุกอย่างถือว่าเป็นไปตามกลไกของกฎหมายที่กำหนด สุดท้ายปลายทางต้องรอผลการชี้ขาดว่าจะเป็นอย่างไร เบื้องต้นแค่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เหล่ากองแช่ง พวกจ้องล้มรัฐบาลก็ตีอกชกตัวกันแล้ว อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ ทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางไปศาลอาญาด้วยตนเอง ตามนัดในการตรวจพยานหลักฐานคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตนายกฯ เป็นจำเลย ในความผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากการที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558
แต่คดีนี้ไม่ได้มีอะไรให้น่าตื่นเต้น เนื่องจากศาลได้นัดสืบพยานทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 กรกฎาคม พยานฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 กรกฎาคมนี้ หลังจากนั้น ศาลจะจัดทำคำพิพากษาต่อไป น่าจะเป็นการปรากฏตัวเพื่อยืนยันว่าไม่ได้หนีหายไปไหน ส่วนที่คาดหมายว่าอาจจะเป็นการเดินทางมาเพื่อพบสื่อเปิดประเด็นทางการเมืองอะไรหรือไม่ โดยปกติทุกครั้งเวลาที่มาศาลนายใหญ่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ใด ๆ
ภายใต้สถานการณ์ชุลมุนแบบนี้ การสงบปากสงบคำแล้วแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่อง ทีละอย่างเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด ไม่นับเรื่องส่วนตัวเอาแค่ปมปรับ ครม.วันนี้กรณีของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หากจะยังคงนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่อไป คำถามสำคัญก็คือ กรณีที่ภรรยาโอนหุ้นไม่สำเร็จเป็นประเด็นที่ทำให้เสี่ยตุ๋ยขาดคุณสมบัติหรือไม่ หากนายกฯ ไม่ขยับดำเนินการใด ๆ ก็เป็นอีกช่องทางของบรรดานักร้องที่จะใช้กลไกนิติสงครามเล่นงานไปอีกกระทง
ถึงตรงนี้ ทางเลือกแรกที่กำลังดำเนินการหลังจากภูมิใจไทยถอนตัวในช่วงปะเหมาะกับคลิปเสียงคุยฮุน เซน การปรับ ครม.เดินต่อโดยมีเสียง สส.ปริ่มน้ำ เหมือนเป็นการไปตายเอาดาบหน้านั้น ถือเป็นการแก้ปัญหาเพื่อให้ตั้งหลักกันได้ก่อน เมื่อทุกอย่างนิ่งแล้วนายใหญ่จึงได้มาดูทิศทางลมอีกที มีแนวโน้มที่จะได้ไปต่อให้นานที่สุดหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จู่ ๆ จะมีข่าว ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ คนสุดท้ายที่เหลือของเพื่อไทย ประกาศพร้อมทำงานเพื่อชาติหากมีความจำเป็น
แนวโน้มไม่ว่าจะยังไงพรรคแกนนำรัฐบาลไม่มีทางที่จะยุบสภาเป็นอันขาด รวมไปถึงการให้แพทองธารลาออกจากตำแหน่งด้วย การวางตัวชัยเกษมไว้นั้นเป็นกรณีที่ถูกศาลวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นนายกฯ เท่านั้น คือการซ้ำรอยกับ เศรษฐา ทวีสิน นั่นเอง พิจารณาจากเสียง สส.ที่มีอยู่ทั้งหมด โอกาสที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จะพลิกขั้วอีกรอบด้วยการไปจับมือกับพรรคประชาชน แล้วดึงพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันไปเป็นพวกนั้น ทางทฤษฎีคิดกันได้ แต่ในแง่ปฏิบัติไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้
พรรคสีส้มแสดงจุดยืนชัดเจนต้องยุบสภาเท่านั้น จึงจะเป็นทางออกที่สง่างาม ขณะเดียวกัน บรรดาแกนนำพรรคสีน้ำเงิน โดยเฉพาะเสี่ยหนูก็รู้ดีว่ายังไงผู้มีอำนาจที่แท้จริงก็ไม่ให้พรรคสุดโต่งเข้าสู่อำนาจบริหารได้ มิเช่นนั้น การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลคงเป็นแกนนำ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คงจะได้เป็นผู้นำประเทศไปแล้ว สมการทางการเมืองไม่ว่าจะเวลานี้ หรือในอนาคตอันใกล้ ฝ่ายกุมอำนาจต้องเป็นเหล่าพรรคร่วมรัฐบาลพลิกขั้วฉบับดั้งเดิมเท่านั้น
ความจริงพรรคสีน้ำเงินก็รู้โจทย์เหล่านี้เป็นอย่างดี จึงมีข้อกล่าวหาพร้อมเรียกร้องให้แพทองธารลาออก เรื่องที่หวังว่าม็อบที่ก่อตัวขึ้น จะมาเป็นตัวปิดเกมทำให้รัฐบาลไปต่อไม่ได้นั้น ถ้ายึดเอาโมเดลเหมือนกับการล้มรัฐบาลด้วยการรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมา ต้องบอกว่าไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปเช่นนั้น เพราะสุญญากาศในการบริหารประเทศจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจะย่อยยับดับสูญ ยากที่จะกู้กลับคืนมาได้อีก ประชาชนจะเป็นฝ่ายรับเคราะห์ไปเต็ม ๆ ชนิดไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
ทางเลือกว่าด้วยอำนาจพิเศษ หรืออุบัติเหตุทางการเมืองจากปลายกระบอกปืน จึงไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ ข้อเสนอและความเคลื่อนไหวจากฝ่ายต่าง ๆ ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล จึงเป็นวาระซ่อนเร้นที่เต็มไปด้วยการหวังผลประโยชน์ จึงอยู่ที่ว่าผู้มีอำนาจที่แท้จริงในรัฐบาล เหล่าแกนนำของทุกพรรคร่วมรัฐบาล ได้ประเมินสถานการณ์กันไว้อย่างไร ส่วนฝ่ายกองทัพการรับมือกับเกมเขย่าขวัญสั่นประสาทของฝ่ายเขมรก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว จึงอยากให้การเมืองแก้กันด้วยวิถีแห่งการเมือง เพราะทุกฝ่ายต่างได้บทเรียนกันมาแล้ว มือที่มองไม่เห็น อำนาจนอกระบบ มีแต่จะพาประเทศถอยหลังลงคลองสถานเดียว