PrimeStreet Capital ชู 4 ธีมเมกะเทรนด์ ทางรอดวิกฤตโลก

PrimeStreet Capital กางแผน 4 ธีมลงทุนเมกะเทรนด์ทางรอดวิกฤตโลก พร้อมเปิดผลงาน 2 ปีครึ่ง NAV-MOIC เติบโต 7 เท่า IRR พุ่ง 180% ส่งซิกลุ้น FDA ไฟเขียวขึ้นทะเบียนยารักษาโรค ALS


นายวิฤทธิ์ วิจิตรวาทการ ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital ผู้บริหารกองทุน Global Venture Capital แถวหน้าของเมืองไทย ในเครือ PrimeStreet Group เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังมีสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง จากการเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งปัจจัยความไม่แน่นอนทางการค้า, การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯทั่วโลก รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ส่งผลต่อราคาพลังงาน และความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในโลกแห่งการลงทุน ที่จะเป็นจังหวะและโอกาสในการซื้อของดีราคาถูก ซึ่งนักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนเน้นกระจายพอร์ตลงในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับสูง และที่สำคัญราคาสินทรัพย์มีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น อย่างสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) อาทิ หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์อย่าง Private Equity (PE) และ Venture Capital (VC)

โดยเฉพาะที่อยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ ซึ่งมีกระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งจากตัวเลขสถิติย้อนหลัง 25 ปี ของ Cambridge Associates พบว่า สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 23.1% ต่อปี และมีความผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์หลายประเภทกองทุน Global Venture Capital ภายใต้การบริหารจัดการของ PrimeStreet Capital ปัจจุบันมีอายุราว 2 ปีครึ่ง ซึ่งเน้นลงทุนภายใต้ 4 ธีมเมกะเทรนด์ คือ Healthcare and Wellness, Environment and InfrastructureImpact Technology, และ Food, Water, and Resources มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV) ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า

ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้น (MOIC : Multiple on Invested Capital) ซึ่งเป็นมูลค่าที่ยังไม่รับรู้ (Unrealized Value) อยู่ที่เกือบ 7 เท่า คิดเป็นอัตราผลตอบแทน IRR 180% ตามการเติบโตแบบก้าวกระโดดของกิจการบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย IRR ของภาพรวม Venture Capital อายุ 3 ปี ที่อยู่ราว 20.2% (ข้อมูลรายงานผลดำเนินงานของ Pitchbook Global Fund)

นายวิฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องปี 2569 PrimeStreet Capital ยังคงเน้นโฟกัส 4 ธีมเมกะเทรนด์หลัก ผ่าน 4 บริษัทที่ได้เข้าไปร่วมลงทุน ผลักดันให้มีการเติบโตที่ดี สร้างผลตอบแทนสูงสุด โดยเฉพาะ “Novel Immunologic Therapy for Neurodegenerative Diseases” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Company) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติขึ้นทะเบียนยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS (Amyotrophic lateral sclerosis) จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration) หลังผ่านการอนุมัติในหลักการเรียบร้อยแล้ว และได้เข้าสู่กระบวนการทดสอบศักยภาพและประสิทธิผลของยาขั้นสุดท้ายในกลุ่มผู้ป่วยตัวอย่างกว่า 300 รายทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นต้น

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ สัญชาติญี่ปุ่นหลายราย แสดงความสนใจ พร้อมขอเจรจาลงทุนเพื่อได้การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการผลิต พร้อมจัดจำหน่ายยารักษาโรค ALS สร้างทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งนับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีโอกาสสร้างมูลค่าผลตอบแทนก้าวกระโดดเร็วเกินคาด เทียบจากค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่ใช้เวลานานนับสิบปี

“เราวางเป้าหมายทยอยคืนผลตอบแทนให้นักลงทุนภายใน 2-3 ปี และมีแผนปิดกองภายในปีที่ 5 หรือ 6 ซึ่งเร็วกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม พร้อมย้ำจุดยืนการลงทุนเพื่อสร้างกำไรและประโยชน์ทั้งระบบ ด้วยแนวคิด “นำนวัตกรรมจากโลก กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในไทย” ผ่านความร่วมมือกับภาคสาธารณสุขและธุรกิจไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอย่างยั่งยืน” นายวิฤทธิ์ กล่าว

Back to top button