
พาราสาวะถี
ไม่ได้เหนือความคาดหมาย กรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องที่ประธานวุฒิสภายื่นคำร้องของ 36 สว.
ไม่ได้เหนือความคาดหมาย กรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องที่ประธานวุฒิสภายื่นคำร้องของ 36 สว. ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกฯ กัมพูชา ที่มีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึงมีพฤติกรรมบ่งบอกเป็นคนทรยศขายชาติ ทำให้กระทบอธิปไตยไทย กองทัพ ประชาชน
ด้วยมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 พร้อมมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง ให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย โดยการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามเสียงข้างมากนั้น เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 71 ห้ามไม่ให้แพทองธารใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และด้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ เพราะยุคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็เคยถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว ครั้งนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติรับคำร้องด้วยเสียงเอกฉันท์เช่นกัน แม้มติสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จะฉิวเฉียดคือ 5 ต่อ 4 เสียง แต่ทั้งหมดก็ว่ากันตามกระบวนการของข้อกฎหมาย ซึ่งในกรณีของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น กระบวนการในการพิจารณาตั้งแต่วันรับคำร้องไปจนถึงวันวินิจฉัยชี้ว่าความเป็นนายกฯ ไม่สิ้นสุดลงนั้น ใช้เวลาทั้งสิ้น 38 วัน
กรณีของแพทองธารคงไม่ต่างกัน เนื่องจากข้อกล่าวหา พยาน หลักฐานต่าง ๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อยู่ที่ว่าจะตีความกันอย่างไรเท่านั้น โดยศาลให้เวลาแพทองธารยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง หลังทราบผลของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เจ้าตัวน้อมรับคำวินิจฉัย พร้อมยืนยันจะพยายามพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ว่า เป็นความตั้งใจและความพยายามเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่จะทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ ไม่มีเจตนาอยากได้อะไรเป็นของตัวเอง คิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ทำอย่างไรที่จะไม่ต้องสู้รบกัน ทหารไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
ต้องรอดูบทสรุปสุดท้ายว่าจะออกหัวหรือก้อย หากยึดเอาระยะเวลาที่พิจารณาคดีของอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก่อนหน้า ประเทศไทยอาจจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ไม่ถึง 3 เดือนเหมือนคำทำนายของฮุน เซน ก่อนหน้าแต่ก็ถือว่าใกล้เคียง ถ้าเป็นจริงเช่นนั้นก็ต้องยอมรับว่าการข่าวของผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวเขมรช่างแม่นยำยิ่งนัก แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะคาดเดาอะไรได้ยาก มิเช่นนั้น คงไม่มีการเตรียมพร้อมด้วยการให้แพทองธารนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีกตำแหน่ง
เป็นโมเดลเดียวกันกับอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเช่นกัน ที่ก่อนจะมีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้มีการแต่งตั้งตัวเองนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ขาลอย อย่างน้อยก็สามารถที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีได้ทุกนัด เพียงแต่เปลี่ยนที่ทำงานจากทำเนียบรัฐบาลไปยังกระทรวงที่นั่งกุมบังเหียนเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างออกไปจากยุคของรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็คือ มติของศาลรัฐธรรมนูญรอบนี้ ออกมาในวันเดียวกันกับที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีการปรับพอดี
คำถามก็คือ แล้วใครจะเป็นผู้นำรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนรับตำแหน่ง ในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ โดยมีคำยืนยันจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้วว่า ได้ปรึกษากับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว รักษาการนายกฯ สามารถปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ได้ ในที่นี้คือ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั่นเอง ที่เป็นรองนายกฯ อันดับ 2 รองจาก ภูมิธรรม เวชยชัย
เนื่องจากบิ๊กอ้วนได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำให้ต้องเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ ก่อนจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ กรณีนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่นายกฯ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการเตรียมนำคณะรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ เหล่านี้คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ จุดใหญ่ใจความคงอยู่ที่ว่า ระยะเวลาที่มีผู้นำรักษาการเพื่อรอเวลาชี้ชะตากรรมแพทองธารนั้น รัฐบาลภายใต้ผู้นำเฉพาะหน้าจะสามารถสร้างผลงานอะไรให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ หรือแค่ตีกรรเชียงเพื่อรอเวลาเปลี่ยนผ่านเท่านั้น
อ่านจากเกมการนั่งควบรัฐมนตรีวัฒนธรรม ย่อมแสดงให้เห็นว่าทางเลือกว่าด้วยการลาออก กับยุบสภาจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ต้องเดินกันไปให้สุดทาง เพราะไพ่ใบสุดท้ายที่เหลืออยู่ในมือ ทักษิณ ชินวัตร กรณีผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นลบ ทำให้ลูกสาวต้องถูกเขี่ยพ้นเส้นทางการเมือง ยังมี ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยอีกราย ที่จะส่งช่วงชิงเก้าอี้ได้ ภายใต้เงื่อนไขพรรคร่วมรัฐบาลเดิมยังเป็นปึกแผ่น โดยอาจเติมเสียงมาจากบางส่วนของพรรคฝ่ายค้าน
แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น ต้องดูความเคลื่อนไหวของพวกขาประจำ กับกลุ่มเกลียดทักษิณเข้าไส้ จะสามารถปลุกกระแส สร้างแนวร่วมที่มีพลังจนสามารถล้มรัฐบาลได้หรือไม่ การที่ศาลสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่อาจสร้างความคึกคักให้บรรดาแกนนำผสมหลายสายพันธุ์ได้ แต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจสนับสนุนให้เป็นช่องทางในการเปลี่ยนแปลงประเทศ บทเรียนกว่า 10 ปีหลังการชัตดาวน์ประเทศคือ ตัวอย่างที่ประจานความล้มเหลวทนโท่ของเหล่าคนดีย์ทั้งหลาย ถือเป็นจังหวะวัดใจ และบทพิสูจน์ว่าคำสั่งให้ตั้งรัฐบาลพลิกขั้วที่ครอบคลุมไปถึงหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ยังคงอยู่และมีผลเหมือนเดิมหรือไม่
อรชุน