“เอเอสแอล” เชียร์ซื้อ BBL ชู PBV ต่ำ-งบดุลแกร่ง ลุ้นรายได้ปีนี้โตต่อ

บล.เอเอสแอล ประเมิน BBL เด่นจากฐานธุรกิจแข็งแกร่ง คงเป้ารายได้โต 3–4% ในปีนี้ แม้เศรษฐกิจโลกผันผวน เดินหน้ากลยุทธ์ Connecting ASEAN พร้อมแรงหนุนจากธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซีย


บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด (ASL) ประเมินภาพรวมการลงทุนในหุ้นธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ว่ายังคงมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แม้ต้องเผชิญความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าปี 2568 BBL จะสามารถรักษาเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 3–4% จากแรงหนุนหลักคือกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate Banking) และรายได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากธนาคารเพอร์มาตาในอินโดนีเซีย ซึ่งมีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตสูงถึง 5% ทำให้รายได้ต่างประเทศของ BBL คาดว่าจะยังอยู่ในช่วง 23–24% ของรายได้รวม

ทั้งนี้ BBL ยังเดินหน้าขยายเครือข่ายในอาเซียนภายใต้กลยุทธ์ “Connecting ASEAN” โดยอาศัยจุดแข็งของเพอร์มาตา ซึ่งมีเครือข่ายกว่า 240 สาขาและฐานลูกค้ากว่า 6.2 ล้านราย ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญในการรองรับการลงทุนข้ามชาติ โดยเฉพาะเมื่ออินโดนีเซียเข้าร่วมกลุ่ม BRICS และผลักดันยุทธศาสตร์ “Golden Indonesia” เพื่อเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2568 (2Q25F) ASL ประเมินว่า BBL จะมีกำไรใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยได้รับแรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลง แม้จะถูกกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยที่ชะลอตัวตามการลดลงของ NIM (Net Interest Margin) หลังอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับลด ขณะที่สินเชื่ออาจชะลอตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้จากตลาดทุนที่มีความผันผวนสูง

อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) คาดว่ากำไรจะลดลงจาก NIM ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง สินเชื่อสุทธิ (Net Loan) หดตัวในช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคม ราว 1.3% จากสิ้นเดือนมีนาคม รวมถึงการตั้งสำรองที่ปรับเพิ่มตามภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยคาดว่าอัตราหนี้เสีย (NPLs ratio) จะขยับขึ้นเล็กน้อย และ Coverage ratio อาจลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์

ด้านมูลค่าหุ้นในเชิง Valuation ยังน่าสนใจ โดยราคาหุ้น BBL เทรดที่ระดับ PBV เพียง 0.47 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 0.68 เท่า ขณะที่ IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมายที่ 166.28 บาท ทั้งนี้ จุดเด่นของ BBL คือมีงบดุลที่แข็งแกร่ง และดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางอนุรักษนิยม ซึ่งช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ แม้จะมีการปรับขึ้นของหนี้เสียในระยะสั้น แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ให้แนวรับสำคัญอยู่ที่ 138.50/137 บาท ขณะที่แนวต้านถัดไปที่ 142.50–143 และ 145 บาท

Back to top button