พาราสาวะถี

การเมืองช่วงที่อำนาจของผู้นำพบกับความสั่นคลอน แล้วเป็นห้วงที่บรรดานักเลือกตั้งโดยเฉพาะในพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย ไม่สบอารมณ์จากการที่คนในเครือข่ายไม่ได้รับการปูนบำเหน็จในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงเกิดเป็นแรงกระเพื่อมภายใน


การเมืองช่วงที่อำนาจของผู้นำพบกับความสั่นคลอน แล้วเป็นห้วงที่บรรดานักเลือกตั้งโดยเฉพาะในพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย ไม่สบอารมณ์จากการที่คนในเครือข่ายไม่ได้รับการปูนบำเหน็จในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงเกิดเป็นแรงกระเพื่อมภายใน มีข้อเรียกร้องโน่นนี่นั่น ชนิดไม่เกรงใจผู้มีบารมีของพรรคกันแม้แต่น้อย เฉกเช่นการเรียกร้องให้ สุชาติ ตันเจริญ กับ ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สองรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ลาออกจากความเป็นสส.บัญชีรายชื่อ เพื่อเปิดทางให้คนอื่นได้เข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติแทน

เป็นจังหวะเหมาะกับช่วงที่เกิดเหตุสภาล่มเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เหตุผลสุดคลาสสิกที่ได้ยินได้ฟังกันมาทุกยุคทุกสมัยก็คือ คนที่เป็นรัฐมนตรีแล้วมีหัวโขนเป็นสส.จะทำงานในสภาได้ไม่เต็มที่ ความจริงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพรรคนายใหญ่ หากย้อนกลับไปดูตั้งแต่ยุคไทยรักไทยจะเห็นได้ว่า มีการจัดบัญชีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกัน 2-3 บัญชีเลยทีเดียว หนนี้หากมองว่าไม่ใช่การตีรวน แต่ต้องการให้สภาไม่มีปัญหาเรื่ององค์ประชุม พอจะมองว่าเป็นข้อเรียกร้องที่สมเหตุสมผลได้

อย่างไรก็ตาม ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ที่ถือเป็นแกนนำสำคัญของพรรครับลูกโดยชี้ว่า “เป็นข้อเสนอที่น่าพิจารณา” แต่เรื่องนี้เป็นวิธีปฏิบัติของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าใครมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับสภาฯ มากคนนั้นก็อาจจะต้องอยู่ทั้งสองแห่ง ส่วนคนที่ไม่ได้มีบทบาทในสภาฯ มากการลาออก โดยสามารถเลื่อนคนใหม่ขึ้นมา เพื่อจะได้โฟกัสกับงานรัฐมนตรีทั้งหมดอย่างเต็มที่ สำหรับตนมองว่าเป็นข้อเสนอที่ดีที่ต้องรับไปพิจารณา

เป็นอันว่าไม่ได้สร้างปัญหาสำหรับพรรค หรือเป็นเรื่องกวนใจนายใหญ่ เพราะดูเหมือนว่ารัฐมนตรีทั้งสองรายก็พร้อมที่จะไขก๊อกอยู่แล้ว เมื่อมองไปยังรายชื่อคนที่จะขึ้นมาเป็นสส.ปาร์ตี้ลิสต์แทนถือว่าเป็นนักการเมืองรุ่นเก๋าที่เมื่อเข้ามาทำหน้าที่แล้ว จะช่วยงานหรือมีบทบาทในสภาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทั้ง เอกพร รักความสุข และ ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส่วนรัฐมนตรีรายใหม่แต่ประสบการณ์โชกโชนอย่างสุชาติก็เริ่มแสดงบทบาทของความช่ำชองในการทำงาน สร้างการรับรู้ให้กับสังคมแล้ว

จากเดิมทีเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เหมือนเป็นรางวัลปลอบใจ ทว่าการเข้ามาของเจ้าพ่อบ้านริมน้ำ เหมือนที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องธรรมดา ต้องมาเพื่อหวังผลจากความเป็นมือประสานสิบทิศ เรื่องแรกก็สร้างความฮือฮาแล้ว เมื่อเลือกที่จะเล่นกับประเด็นร้อนในมิติเชิงสังคม ว่าด้วยข้อเสนอตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา เพื่อบริหารจัดการเงินของวัดต่างๆ ให้เป็นแบบแผนของธนาคาร พูดให้ชัดก็คือ จะได้แยกเงินวัดกับเงินพระให้ชัดเจน 

ไม่ใช่ข้อเสนอที่เป็นการโยนหินถามทางอย่างแน่นอน ระดับเซียนการเมืองย่อมมีผู้รู้ กูรูด้านกฎหมายคอยให้คำแนะนำปรึกษา และพร้อมลงมือทันทีเมื่อได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้ โดยมีข่าวว่าสุชาติเตรียมที่จะขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชฯ เพื่อรับพระสังฆนโยบาย เพื่อที่ฝ่ายฆราวาสจะได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม เพราะสถานการณ์ข่าวสารที่เกิดขึ้นกับแวดวงดงขมิ้นเวลานี้ สร้างความสะเทือนใจแก่พุทธศาสนิกชน และส่งผลต่อความเชื่อถือ ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว

จับทิศจับทางการปรับครม.แพทองธาร 1/2 เห็นได้ชัดว่า น้ำหนักในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างให้เกิดผลนั้น นายใหญ่และแกนนำพรรคเพื่อไทยจะเน้นไปที่มิติทางสังคม โดยมีการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นตัวชูโรง ปัญหาหนี้นอกระบบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์ทั้งหลายแหล่ รวมถึงปัญหาด้านพุทธศาสนาที่แปดเปื้อนจากการทำมาหากินของพวกเหลือบลิ้นที่ใช้ผ้าเหลือง และวัดวาเป็นแหล่งทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

คู่ขนานไปกับการเจรจา ทำความเข้าใจกับฝ่ายการเมืองต่าง ๆ เบื้องหน้าอาจดูเป็นความขัดแย้ง แต่เบื้องหลังมีการประสาน แลกเปลี่ยน มองไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้ากันแล้ว โดยใช้เหล่าผู้มีบารมีทางการเมืองของพรรค และนักล็อบบี้ยิสต์อันดับต้น ๆ หลายรายเป็นตัวเชื่อมเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางกัน จนยากที่จะทำงานร่วมกันได้ในอนาคต ขณะที่มิติว่าด้วยความเคลื่อนไหวของม็อบที่ก่อหวอดเป็นประเดิมไปก่อนหน้า ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้กับฝ่ายกุมอำนาจแต่อย่างใด

มองกันแบบไม่มีอะไรซับซ้อน หากเป็นม็อบธรรมชาติม็อบมาด้วยใจ ถ้าจุดติดต้องนัดหมายชุมนุมต่อเนื่อง หรือปักหลักลากกันยาวๆ แต่นี่มันผิดธรรมชาติ อ้างว่าต้องเตรียมความพร้อม ประเมินสถานการณ์ต่างๆ นานา แค่นี้ก็รู้กันแล้วว่า เป้าหมายจะสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลได้หรือไม่ ยิ่งล่าสุด สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจ คนส่วนใหญ่ไม่สนใจเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง มองรัฐประหารเป็นการละเมิดประชาธิปไตย ทำให้เห็นอารมณ์ของผู้คน ไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามวิถีปกติที่ควรจะเป็นดีกว่า

อีกประเด็นที่รัฐบาลถูกเพ่งเล็งมาตลอดนั่นก็คือ กรณีการเจรจากับสหรัฐอเมริกาเรื่องกำแพงภาษี โดยที่เวียดนามเป็นชาติแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงกับลุงแซมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้เงื่อนไขยอมลดภาษีสินค้านำเข้าจากอเมริกาเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์ ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ใจป้ำ ยอมหั่นภาษีที่ตั้งป้อมกับเวียดนามจาก 46 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประเทศไทยผู้นำสหรัฐฯส่งจดหมายถึง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะรักษาการแทนนายกฯ ยืนเก็บภาษีอัตราเดิม 36 เปอร์เซ็นต์ มีผล 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป แถมยังประชดด้วยว่าอัตรานี้ยังถือว่าน้อยไป พร้อมขู่ถ้าคิดตอบโต้จะเพิ่มภาษีหนักข้อกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ท้ายจดหมายของทรัมป์ยังเปิดทางอัตราดังกล่าวอาจลดหรือเพิ่มได้ ขึ้นอยู่กับผลเจรจาก่อนจะถึงเส้นตายที่ขีดไว้ พิชัย ชุณหวชิร หัวเรือใหญ่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลและคณะเจรจาแจง ส่วนนี้ยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอใหม่ที่ไทยส่งไปล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะประกาศลดภาษีไทยลงมาต่ำกว่า 36% แน่นอน โดยจะใช้ระยะเวลาที่เหลือจากนี้อีก 20 วันเจรจาให้ทันก่อนเดดไลน์ ถ้าผลออกมาดีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ใช่ นี่อาจเป็นอีกชนวนที่นำไปสู่การล้มรัฐบาลได้

อรชุน

Back to top button