
พาราสาวะถี
แม้สถานการณ์สู้รบยังไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน เมื่อไหร่ อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่าการเลือกตั้งหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว จะเกิดขึ้นแน่นอน
แม้สถานการณ์สู้รบยังไม่รู้ว่าจะจบลงตรงไหน เมื่อไหร่ อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่าการเลือกตั้งหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว จะเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อ กกต.ได้เคาะวันหย่อนบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นก็คือ วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 และกำหนดให้ วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 เป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง นอกเขตเลือกตั้ง วันลงคะแนน ณ ที่เลือกตั้งสำหรับคนพิการหรือทุพพลภาพ หรือผู้สูงอายุ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีความกังวลกันว่า จะมีการใช้เหตุความไม่สงบตามชายแดนมาทำให้การเลือกตั้งต้องถูกลากยาวออกไป
บทสรุปจากในที่ประชุม กกต.กรณีที่ยังเดินสามารถจัดการเลือกตั้งได้ แม้ว่าสถานการณ์สู้รบจะดำเนินต่อไป ตรงนี้ต้องปรบมือให้ในความกล้าที่จะตัดสินใจแบบนี้ นั่นเป็นเพราะ กกต.ห่วงว่าการเลื่อนการเลือกตั้งทั้งประเทศ ด้วยเหตุผลความไม่สงบชายแดน น่าจะไม่เป็นผลดีทั้งกับ กกต.และรัฐบาล ฝ่ายกุมอำนาจย่อมหนีไม่พ้นข้อกังขาใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือสนองความความต้องการฝ่ายการเมือง ขณะที่ กกต.ก็ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้อต่อรัฐบาล
เมื่อภาพออกมาเช่นนี้ย่อมทำให้ ความเชื่อถือที่มีต่อองค์กรบริหารจัดการเลือกตั้งเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลเองก็จะไม่ถูกมองว่ายุบสภาหนีการซักฟอก และจะใช้กลไก เครื่องมือที่มีอยู่ทำให้อยู่ในอำนาจบริหารให้ได้นานที่สุด สิ่งสำคัญ ในฐานะรัฐบาลเด็กเส้นมันจะกระทบไปถึงผู้หนุนหลัง ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งปัญหาว่าด้วยพื้นที่ที่ยังมีการสู้รบ กกต.ก็ได้ให้ความเห็นแล้วว่าไม่มีปัญหาในกระบวนการจัดการ
กกต. ยืนยันว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งตามแผนที่วางไว้ได้ โดยขณะนี้ทางสำนักงานดำเนินการสำรวจว่าในจังหวัดที่มีการสู้รบนั้นกระทบต่อการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดบ้าง เชื่อว่าจะสามารถใช้วิธีบริหารจัดการพาคนไปหาหน่วยเลือกตั้งได้ โดยไม่จำเป็นต้องเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป แสดงความพร้อมชัดเจนแบบนี้ หลังจากนี้เราก็จะได้เห็นการเปิดตัวผู้สมัครของบรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ อย่างคึกคัก โดยเฉพาะแคนดิเดตนายกฯ ที่จะเป็นจุดขายของแต่ละพรรค
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องที่ต้องรอการตัดสินใจจากของ กกต.อีก 2 เรื่องสำคัญคือ การที่รัฐบาลจะขออนุญาตใช้งบประมาณในส่วนของ โครงการคนละครึ่งเฟส 2 เบื้องต้นฝ่าย กกต.ย้ำกับผู้แทนรัฐบาลที่เข้าหารือว่า ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ มาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในประเด็นการดำเนินโครงการนั้น ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันเลือกตั้งหรือไม่ โครงการแบบนี้แทบไม่ต้องสืบว่าหวังผลหรือไม่ ส่วนโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ หรือการปูนบำเหน็จให้กับทหารชายแดน ตรงนี้ไม่มีปัญหาที่ กกต.จะอนุมัติให้รัฐบาลใช้งบประมาณได้
อีกเรื่องคือ การจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีนี้ตั้งต้นอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนว่า จะเคาะให้มีการส่งคำถามไปยัง กกต.หรือไม่ คำถามดังว่าก็เป็นคำถามแรกคำถามเดียวคือ ประชาชนอยากจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการส่งคำถามดังว่าไปให้ กกต.พิจารณา โดยหากจะจัดให้มีการทำประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส. จำเป็นจะต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 30 วันจนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อให้ กกต.นำประเด็นที่จะทำประชามติไปเผยแพร่ทำความเข้าใจกับประชาชน
เมื่อมีแค่คำถามเดียวจึงไม่ใช่เรื่องยากในการที่จะไปทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะคำถามที่ 2 ซึ่งแท้งไปเรียบร้อยก็คือ ร่างรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขของรัฐสภาหลังจากมีการยุบสภาไปแล้วก็มีอันตกไป ไม่ต้องนำไปถามประชาชน เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อไทม์ไลน์ว่าด้วยการเลือกตั้งชัดแล้ว ความสนใจของประชาชนก็จะไปอยู่ที่ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองมากกว่า สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง ภูมิใจไทย เพื่อไทย และประชาชน คือ 3 พรรคที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
ส่วนประชาธิปัตย์ที่เวลานี้เริ่มมีกระแสผ่านผลโพล ที่ล่าสุดนิด้าโพลพบว่า คะแนนนิยมของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ตีตื้นขึ้นมาไล่เบียดกับอนุทิน และ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โดยมี จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยไล่ตามมาในอันดับที่ 4 แต่ต้องไม่ลืมว่าผลสำรวจความคิดเห็นดังกล่าว ยังมีกลุ่มตัวอย่างถึง 40.60 เปอร์เซ็นต์ ที่ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ นั่นหมายความว่า แต่ละพรรคอาจต้องส่งผู้เข้าประกวดเพิ่มอีกหนึ่งหรือสองราย
พรรคสีน้ำเงินนอกเหนือจากเสี่ยหนู ที่ขายของล่วงหน้าในฐานะรัฐมนตรีคนนอก แต่จะเข้ามาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคด้วยคือ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส กับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ในแวดวงสังคมการเงิน การลงทุน คงไม่ปฏิเสธว่านี่คือ บุคลากรคุณภาพ แต่ภาพกว้างทางการเมืองยังถือว่าห่างไกลจากการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ ส่วนเพื่อไทยการมีชื่อ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นแคนดิเดตร่วมกับจุลพันธ์ ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
สุริยะถือเป็นมือไม้ทางการเมืองที่ ทักษิณ ชินวัตร ใช้งานเพื่อการโอบอุ้มดูแล สส.ภายใต้การบัญชาการของคนใกล้ตัวที่นายใหญ่ไว้วางใจมากที่สุด ขณะที่ยศชนันหากมองไปยังชื่อเสียงในฐานะนักวิชาการรุ่นใหม่ในวงการวิชาการ แวดวงการศึกษาย่อมเป็นที่ยอมรับ แต่จะสลัดภาพนอมินีของเครือข่ายตระกูลชินวัตรได้อย่างไร ถือเป็นเครื่องหมายคำถามตัวโต สำหรับพรรคประชาชนที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้าทั้งณัฐพงษ์ พร้อมด้วย ศิริกัญญา ตันสกุล และ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ยังไม่ว้าวถ้าเทียบกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แค่โหมโรงคงยังมองอะไรไปมากไม่ได้ หลังเข้าสู่โหมดห้ำหั่นกันเต็มที่แล้วจึงจะพอเห็นใครตัวเต็ง
อรชุน