
“ดาโอ” ชี้ KLINIQ กำไรปีนี้โต 14% รับรายได้พุ่ง-ขยายสาขาใหม่ ชูเป้า 28 บาท
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรสุทธิปี 68 ของ KLINIQ แตะ 367 ล้านบาท โต 14% รับรายได้ศัลยกรรมพุ่ง-ขยายสาขาใหม่ โดยยังคงให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อบริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ โดยประเมินว่า หากรายได้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 100 ล้านบาท จะส่งผลเชิงบวกต่อประมาณการกำไรปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 8% ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดรายได้ปี 2568 จะอยู่ที่ 3,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เป้ารายได้เดิมของบริษัทอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
จากบทสัมภาษณ์ผู้บริหารล่าสุด ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 มีแนวโน้มจะออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่มีโอกาสสูงกว่าคาด โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเล็กน้อย 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการขยายตัวของรายได้ที่เติบโต 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มจำนวนสาขาเป็น 77 สาขา (เทียบกับ 68 สาขาในไตรมาส 2/2567 และ 73 สาขาในไตรมาส 1/2568)
ประกอบกับอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) อยู่ที่ 8.7% และอัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม กำไรที่ชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจาก GPM ที่ลดลงเล็กน้อย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ โดยในไตรมาส 2 บริษัทเปิดสาขาเพิ่ม 5 แห่ง และปิด 1 แห่ง
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ไว้ที่ 367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากรายได้รวมที่คาดว่าจะเติบโต 12% และอัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากสาขาที่เปิดในปี 2567 ซึ่งเริ่มพลิกกลับมามีกำไร ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทมีแผนเปิดสาขาน้อยลง จึงไม่เป็นแรงกดดันต่อ GPM
สำหรับปี 2569 ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้คาดว่าจะเติบโต 14%
ในด้านมูลค่าหุ้น ฝ่ายวิจัยยังคงราคาเป้าหมายที่ 28.00 บาทต่อหุ้น อิงจากค่า PER ที่ระดับ 17.0 เท่า ซึ่งยังถือว่าไม่สูงนัก เมื่อเปรียบเทียบกับการเติบโตของกำไรในอนาคต โดยปัจจุบันหุ้น KLINIQ ซื้อขายอยู่ที่ PER ราว 14.6 เท่า ซึ่งยังไม่สะท้อนประมาณการกำไรในปี 2568–2569 อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ KLINIQ จากปัจจัยสนับสนุนในระยะยาว ได้แก่ แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมความงามที่ยังมีต่อเนื่อง จำนวนสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมูลค่าหุ้นที่ยังอยู่ในระดับน่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของผลประกอบการในระยะข้างหน้า