“พงศ์ภัทร” แนะกลยุทธ์ลงทุน เลือก “บจ.” งบ Q2 เด่น-จ่ายปันผลสูง

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ มองตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ยังคงมีแนวโน้มสดใส หลังยืนเหนือระดับ 1,200 จุด พร้อมแนะเลือกหุ้นงบไตรมาส 2/68 เติบโตเด่น และจ่ายปันผลดี รับมือตลาดผันผวน


นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ นักกลยุทธ์การลงทุน Research Department, InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เปิดเผยในรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (21 ก.ค.68) ว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังคงมีแนวโน้มสดใส โดยดัชนีสามารถยืนเหนือระดับ 1,200 จุดได้สำเร็จ ซึ่งเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยา

อย่างไรก็ตาม หากตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 3 วัน อาจเริ่มเกิดแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,219–1,230 จุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดส่วนใหญ่ยังคงได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นนำตลาดอย่าง DELTA การปรับตัวขึ้นของดัชนีในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังการชะลอตัวของตลาดบริเวณโซนดังกล่าว

ภาพรวมปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในระยะกลางยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยผู้ว่าการทั้งสองรายชื่อมีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและสนับสนุนภาคเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย

อีกทั้งสถานการณ์เจรจาระดับภาษีกับสหรัฐฯ ยังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีรายงานว่าไทยอาจได้รับอัตราภาษีที่ครอบคลุมสินค้าประมาณ 90% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน แม้ว่าจะยังไม่ถึงระดับ 100% ก็ตาม นอกจากนี้ ภูมิรัฐศาสตร์ในบางมิติก็มีสัญญาณการผ่อนคลาย ซึ่งส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น

โดยแนวต้านสำคัญของดัชนีจะอยู่บริเวณระดับ 1,219–1,230 จุด หากสามารถทะลุผ่านระดับนี้ไปได้ ตลาดมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 1,250 จุด ขณะที่แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1,215 จุด หากตลาดเกิดแรงขายทำกำไรในช่วงเวลาสั้นๆ ส่วนแนวรับหลักในกรณีที่เกิดความกดดันจากปัจจัยลบ เช่น ภาษีที่สูงกว่าคาด อาจอยู่บริเวณ 1,150 จุดถึง 1,120 จุด และในกรณีที่มีผลกระทบรุนแรงมาก เช่น ภาษีสูงถึง 36% ซึ่งนับว่าสูงมาก อาจทำให้ดัชนีถอยลงไปทดสอบระดับต่ำสุดเดิมที่ประมาณ 1,050 จุด

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในช่วงนี้ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มที่มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นในไตรมาสที่ 2 ทั้งแบบเทียบปีต่อปีและเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC และกลุ่มหุ้นที่มีจุดเด่นด้านการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งอยู่ในดัชนี SET50 ได้แก่ ADVANC, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ผลประกอบการไตรมาส 2 ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยบางแห่งมีผลประกอบการที่โดดเด่น เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ที่มีกำไรดีกว่าตลาดคาดประมาณ 20% ซึ่งเป็นผลจากอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

ขณะที่ธนาคารอื่นๆ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC และธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB มีผลประกอบการใกล้เคียงกับที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเฝ้าระวังคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจได้รับผลกระทบจากสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตัวเลข NPL และ ECL ที่อาจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน หากธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลกดดันต่ออัตรากำไรสุทธิของธนาคารในไตรมาสถัดไป

โดยสรุป ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่ควรระมัดระวังแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้านสำคัญ ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนในระยะกลางยังแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและทิศทางเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวของการเจรจาภาษีอย่างใกล้ชิด เพราะหากมีผลลบหรือความไม่แน่นอนสูง อาจส่งผลให้ตลาดเกิดแรงกดดันและมีการปรับฐานลงในระดับสำคัญ

Back to top button