“เอเซียพลัส” คัด 10 หุ้นเด่น เก็งรับ “กนง.” ลดดอกเบี้ย 0.25% ส.ค.นี้

“เอเชีย พลัส” ชี้เศรษฐกิจสหรัฐยังแกร่งกดดัน “เฟด” ยื้อลดดอกเบี้ย ขณะที่ “ไทย” เงินเฟ้อติดลบ–เศรษฐกิจชะลอ หนุนคาดการณ์ “กนง.” ลดดอกเบี้ย ส.ค.นี้ เปิดโอกาสลงทุนหุ้นเช่าซื้อ แบงก์เล็ก และอสังหาริมทรัพย์


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ (25 ก.ค.68) ประเมินเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยในไทย โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกาเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 217,000 ราย ต่ำสุดในรอบกว่า 3 เดือน และต่ำกว่าตลาดคาดที่ระดับ 227,000 ราย สะท้อนตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง

ขณะที่ยอดขายบ้านใหม่เดือนมิถุนายนปรับตัวขึ้น 0.6% เทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 627,000 ยูนิต เพิ่มเติมจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใส ไม่ว่าจะเป็นยอดค้าปลีก (Retail Sales), การจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payroll) และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว บวกกับความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้ออาจกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง จากการเตรียมบังคับใช้มาตรการ “Trade Tariff 2.0” ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ ส่งผลให้ตลาดยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ยในเร็ววัน โดย FedWatch Tool ให้น้ำหนักเกือบ 100% ว่าเฟดจะ “คงดอกเบี้ย” ในการประชุมปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่มีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.00% หลังลดต่อเนื่องถึง 8 ครั้งก่อนหน้า

ทั้งนี้ ในทางตรงกันข้ามกัน เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ที่ยังติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ล่าสุดอยู่ที่ -0.25% เมื่อเทียบรายปี (YoY) ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ที่ 1.75% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) สูงถึง 2.0% ถือว่าสูงกว่าอีกหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมี room สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพียง 0.75–1.5% เท่านั้น

นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ อย่าง นายวิทัย รัตนากร ซึ่งมีแนวคิดสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผ่อนคลายทางการเงิน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยฝ่ายวิจัยหลายแห่งประเมินว่ามีโอกาสสูงที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและลดแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่อยู่ในระดับสูง

อีกทั้ง ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังมีพัฒนาการต่อเนื่อง อาจกระทบต่อการค้าและดุลการส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดกัมพูชา ซึ่ง Net Export เป็นองค์ประกอบสำคัญของ GDP ไทย ทำให้ความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน สัญญาณจากตลาดตราสารหนี้ไทยก็สะท้อนทิศทางเดียวกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (10Y Bond Yield) อยู่ที่ระดับ 1.49% ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นสัญญาณว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลดลงในระยะเวลาอันใกล้

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบเชิงบวกจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเริ่มส่งสัญญาณไปยังกลุ่มหุ้นที่ได้อานิสงส์โดยตรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเช่าซื้อที่มีต้นทุนทางการเงินสูง กลุ่มนี้ประกอบด้วย บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก เช่น ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP และ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ที่มีการบริหารพอร์ตสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งไวต่อดอกเบี้ย ทั้ง บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI, บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP และ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ก็มีแนวโน้มฟื้นตัวหากดอกเบี้ยลดลง หนุนดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาศัยให้กลับมาเร่งตัวอีกครั้ง

Back to top button