“อนุทิน” แจง “ทรัมป์” ยันไทยไม่ใช่ผู้รุกราน จี้เขมรถอนกำลังก่อน–สบช่องทวงสัญญาภาษีสำเร็จ

นายกฯ แจงผลหารือ “ทรัมป์” ปมสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ระบุสหรัฐฯ ต้องการให้หยุดยิง พร้อมย้ำกัมพูชาต้องแสดงให้โลกเห็นว่าเป็นฝ่ายหยุดก่อน เผยมีการหารือด้านการค้า โดยผู้นำสหรัฐฯ รับปากอีกครั้งจะพิจารณาลดภาษีให้ไทยในเงื่อนไขที่ดีกว่าประเทศอื่น และเดินหน้าเจรจาต่อ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. วันที่ 12 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยประเด็นหลักของการหารือครอบคลุมสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา และแนวทางการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ

โดยสรุป นายอนุทิน กล่าวว่า การหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยและสหรัฐฯ เข้าร่วม รวมถึงรัฐมนตรีศุภจีของฝ่ายไทยด้วย การพูดคุยเป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดี โดยประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ และต้องการให้ทุกอย่างกลับไปอยู่ภายใต้ปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามกันไว้ที่ประเทศมาเลเซีย

นายอนุทิน ระบุว่า ได้ยืนยันกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ประเทศไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขใน Joint Declaration มาโดยตลอด ไม่เคยที่จะออกนอกเงื่อนไขเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าทางฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ที่ละเมิด เมื่อมีการละเมิดแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดด้วยการปฏิบัติ เช่น ดีเลย์ ไม่ถอยกำลังออกไปไม่มีการทำให้สูญเสียชีวิต เราก็จะต้องมาพูดคุยกันให้ปฏิบัติ แต่ว่าถ้าเป็นการละเมิดที่ทำให้ฝ่ายสูญเสียอวัยวะชีวิต ทรัพย์สิน แบบนี้ประเทศไทยก็มีจำเป็นที่จะต้องตอบโต้ ในสิ่งที่เราจะต้องป้องกันอธิปไตยของเรา ป้องกันดินแดนของเรา ป้องกันทรัพย์สินของคนไทย และสุดท้ายที่เราจะต้องปกป้องอย่างสูงสุดคือ ต้องป้องกันชีวิตของประชาชน

“นี่คือเหตุที่ผมต้องอธิบายประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่งั้นท่านก็จะไปเข้าใจว่า เราเป็นฝ่ายจู่โจม เป็นฝ่ายรุกรานประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่ใช่เลย เราตอบโต้ แต่เวลาตอบโต้บางครั้งก็ต้องทำให้เขาได้ยิน ทำให้เขาเห็นว่าอย่ามาทำอย่างนี้กับเรา เราไม่ใช่ประเทศที่คุณอยากจะทำอะไรคุณก็มาทำได้” นายอนุทิน กล่าว พร้อมแสดงความมั่นใจว่า ผู้ที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาอย่างไทยกับกัมพูชาก็คงใช้ข้อมูลฝ่ายเดียวไม่ได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นการเลือกตั้งใหม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย และไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยงกับประเด็นการปกป้องอธิปไตยหรือความมั่นคงของประเทศ โดยย้ำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการป้องกันไม่ให้ทหารและประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากการรุกรานตามแนวชายแดนจากฝั่งกัมพูชา “วันนี้เรื่องการเมืองกับเรื่องเลือกตั้งไม่มีความสำคัญกับผมแม้แต่น้อยเท่ากับคนคนหนึ่งที่อยู่ตามแนวชายแดนที่เป็นคนไทย” พร้อมระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้สอบถามเรื่องการยุบสภาแต่อย่างใด

วันที่ 26 ตุลาคม 2568 มีการลงนามถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ผลการหารือไทย–กัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังรับฟังคำชี้แจง นายอนุทิน กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเข้าใจ และเปิดช่องให้สามารถประสานงานได้โดยตรง

“ท่านก็บอกท่านเข้าใจ แล้วก็ถ้ามีเรื่องแบบนี้ ขอให้ทางท่านรัฐมนตรีต่างประเทศสีหศักดิ์ต่อสายตรงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มิสเตอร์รูบิโอได้ตลอดเวลา แล้วท่านก็บอกว่า มีอะไรให้ผมโทรหาท่านได้ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่ท่านยังไม่บอกเบอร์ผม ผมก็เรียนท่านไปว่าคงไม่ถึงขั้นนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยก็แฮนเดิลสถานการณ์ได้ และทางท่านรัฐมนตรีสีหศักดิ์ได้มีการพูดคุยกับทางสหรัฐฯ ในหลายระดับอยู่แล้ว” นายอนุทิน กล่าว

เมื่อถามว่า ไม่ได้มีการกดดันให้เราหยุดยิงใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้เกิดการหยุดยิง แต่ตนได้ชี้แจงว่า ไม่ควรเป็นเพียงการกล่าวว่า “หยุดยิง” เท่านั้น แต่กัมพูชาต้องแสดงให้โลกเห็นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการหยุดยิง ถอนกำลัง และเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางไว้ หากดำเนินการเช่นนั้น ประเทศไทยก็พร้อมปฏิบัติตาม เพราะไทยไม่เคยมีความต้องการใด ๆ จากดินแดนของกัมพูชา

“เขาก็อยากให้หยุดยิง ผมก็เรียนท่านไปว่า ขอให้ไปบอกเพื่อนเราดีกว่า ว่าอย่าบอกว่าหยุดยิงเฉย ๆ ต้องออกมาบอกให้โลกรู้ ว่าเอาล่ะกัมพูชาจะหยุดยิง กัมพูชาจะถอนกำลังออกไป กัมพูชาจะเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางเอาไว้ออกไปให้หมด แล้วทำให้เห็น… เราไม่เคยเข้าไปอยากจะได้อะไรของเขาอยู่แล้ว แต่เขาต้องหยุดทุกอย่างก่อน นี่เป็นสิ่งที่ฝ่ายกองทัพรายงานผมมาตลอดว่ามันจะถึงจุดนี้ เมื่อวันที่เราเก็บกู้วัตถุระเบิดภายใต้ปฏิญญาฯ ไปถึงจุดหนึ่ง จะไปถึงจุดที่จะเจอเยอะมาก แล้วเขาจะไม่ยอมให้เราเข้าไป…”

ทั้งนี้ นายอนุทิน ย้ำว่า คนที่ละเมิดสัญญาต้องแก้ไขไม่ใช่คนที่ถูกกระทำมาแก้ไข เป็นหลักสากลที่ทุกคนต้องเข้าใจ

  • “ทรัมป์” รับปากครั้งที่สองลดภาษีให้ไทย มอบ “ศุภจี” เดินหน้าต่อ

นายอนุทิน ระบุในการหารือครั้งนี้ มีการพูดถึงเรื่องภาษีสหรัฐฯ ด้วย “ผมก็บอกท่านว่า ท่านเตรียม ท่านบอกว่าจะ “chopping off” ซึ่งคำว่า chop ที่แปลว่าตัดออก ท่านก็ยังให้สัญญาอยู่ รับรองจะให้ประเทศไทยได้ดีกว่าประเทศอื่น ท่านบอกว่าวันนั้นลืมสั่งไป งานท่านเยอะ”

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อถึงขั้นตอนการเจรจาอย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีศุภจีเป็นผู้ดำเนินการ ถ้อยคำและกรอบการพูดคุย (dialogs) ที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้หารือกันไว้ จะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะไม่ลืม เนื่องจากเป็นการพูดคุยกันเป็นครั้งที่สองแล้ว พร้อมระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายสอบถามขึ้นมาเองถึงความคืบหน้าทางการค้า และรับปากว่าจะดำเนินการเรื่องการลดภาษีต่อไป

“ก็เป็นแนวโน้มที่ดี ท่านเป็นคนถามขึ้นมาเอง by the way, how did the trade go? ผมก็บอกว่ายังไม่ไปไหนเลย ก็รอท่านประธานาธิบดีลดภาษีให้เพิ่มมากขึ้นอยู่ “ท่านก็โอ้! โทษที ใช่ ๆ จำได้ ลืมไปยุ่งมากเลย เดี๋ยวจะดำเนินการ” และท่านก็ไม่ได้มากดดัน ท่านก็ได้มีท่าทีที่ว่าจะเอามาผูกกัน” นายอนุทิน กล่าว

สำหรับรายละเอียดตัวเลขภาษีที่อาจปรับลดลง นายอนุทิน ระบุว่า รัฐมนตรีศุภจีจะเป็นผู้ดำเนินการในเชิงรายละเอียด พร้อมกล่าวเชิงหยอกว่า “ให้ท่านศุภจีไปอ้อนให้เยอะ ๆ”

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำด้วยว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องระหว่างสองประเทศ โดยสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีจุดยืนร่วมกันคือไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของประเทศไทยที่ไม่ต้องการเห็นความสูญเสียเกิดขึ้น

เมื่อถามถึงความชัดเจนในสถานการณ์ชายแดน นายอนุทิน ระบุว่า ทหารก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยไม่สามารถระบุกรอบเวลาได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นสถานการณ์ด้านความมั่นคง ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ และประเทศไทยไม่เคยละเมิดหรือรุกรานดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“ไทย” แถลงปมเขมรเป็นภัยมั่นคง ยันไม่เกี่ยวมิติการค้า หวัง “ไทย-สหรัฐ” สานต่อความร่วมมือ

Back to top button