
พาราสาวะถี
ยังคงสร้างข่าวปลอมไม่เลิกสำหรับ ฮุน เซน ที่วันก่อนแชร์โพสต์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่ากองทัพบกไทยสั่งอพยพชาวสุรินทร์ เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีเข้ากัมพูชา
ยังคงสร้างข่าวปลอมไม่เลิกสำหรับ ฮุน เซน ที่วันก่อนแชร์โพสต์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่ากองทัพบกไทยสั่งอพยพชาวสุรินทร์ เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีเข้ากัมพูชาก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย ความจริง พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ไม่จำเป็นต้องออกมาชี้แจงใด ๆ เพราะคนไทยส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่า ข่าวที่ออกมาจากอีกฝั่งเป็นข้อมูลเท็จ ที่เชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว
ยิ่งการอ้างแหล่งที่มาจากโฆษกกระทรวงกลาโหม กัมพูชา มันไม่เคยมีความน่าเชื่อถือใด ๆ แม้แต่น้อย แต่สิ่งที่โฆษกกองทัพบกต้องอธิบาย เพราะ ยังมีคนบางส่วนที่ไปหลงเชื่อ แชร์ข้อมูลเท็จ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ทั้งที่ควรฟังข้อมูลที่เป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย นี่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของบรรดาพวกที่จมปลักอยู่กับการสร้างกระแส หวังยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดวิวในโลกโซเซียล เพื่อรายได้ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความสงบสุขของบ้านเมือง
ความแตกต่างระหว่างกองทัพไทยกับเขมร ชัดเจนอยู่แล้วว่า ทหารไทยมีความเป็นสุภาพบุรุษ กองทัพบกเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ขณะที่ อีกฝ่ายเห็นกันอยู่ว่ามีแนวโน้มละเมิดข้อตกลงหยุดยิงบ่อยครั้ง ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังมีการเติมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าไปในหลายพื้นที่ ทั้งที่ตามข้อตกลงคือให้ทั้งสองไม่เคลื่อนย้าย และเสริมกำลัง นั่นจึงทำให้ทางฝ่ายทหารจึงต้องตรึงกำลังเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คิดจากฝั่งกัมพูชา
ความจริงแทนที่จะมาเล่นสงครามปั่นประสาทกับประเทศไทย ฮุน เซน ผู้พ่อน่าจะบอกให้ ฮุน มาเนต สั่งการให้ผู้นำกองทัพของตัวเอง มาระดมเก็บศพทหารเขมรที่เสียชีวิตกันเป็นเบือ จนส่งกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งตามแนวชายแดนจะดีกว่า โดยที่เหล่าทหารไทยที่ประจำการตามจุดปะทะต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ภูมะเขือนั้น ถึงขั้นสะอิดสะเอียน รับมือกับกลิ่นไม่พึงประสงค์กันด้วยความกระอักกระอ่วน จนสงสัยกันว่าที่ไม่ยอมมาเก็บศพนั้น เพราะกลัวจะถูกทหารไทยตลบหลัง หรือต้องการจะมายึดพื้นที่คืนทีเดียวกันแน่
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้บริเวณพื้นที่ภูมะเขือ ทางกองทัพบกจึงได้จัดวางกำลังทหารสุดแกร่งประจำการอยู่ ทั้งจากกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี กองพันทหารพลร่ม (ป่าหวาย) ลพบุรี หน่วยรบพิเศษเรนเจอร์กองทัพบก หรือกองพันจู่โจม เรียกได้ว่าพร้อมรบตลอดเวลา เหมือนเป็นการขู่ขวัญอีกฝั่ง ซึ่งอาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ไม่กล้ามาเก็บศพ แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะ ยังมีความพยายามในการใช้โดรนสอดแนม แทบจะทุกพื้นที่ซึ่งเคยมีการสู้รบอยู่ตลอดเวลา
พูดถึงกรณีศพทหารเขมรฟัง อังคณา นีละไพจิตร สว. ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน คงต้องบอกว่า ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องข้อกฎหมาย หรืออนุสัญญาใด ๆ ให้ทางผู้นำฝั่งโน้นเพื่อให้เกิดจิตสำนึก ปัจจัยที่ทำให้ต้องปล่อยศพของบรรดานักรบมีสภาพเหมือนสุนัขตายข้างถนน คงเป็นเพราะรับไม่ได้กับความสูญเสียอันเกิดจากความบ้าระห่ำ กระหายสงคราม ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ หากแต่เป็นเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ
ดังนั้น ประเด็นที่ว่าทางกัมพูชาได้ให้สัญญาสัตยาบันอนุสัญญาการบังคับสูญหาย กรณีทหารที่เสียชีวิตและไม่ได้พิสูจน์ทราบว่าเป็นใคร และบอกญาติไม่ได้ว่าคนเหล่านี้หายไปไหนหรือเสียชีวิตที่ไหน ตรงนี้ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญา หากเป็นผู้นำประเทศที่มีสามัญสำนึก สำเหนียกแห่งความเป็นคน รู้ผิดชอบชั่วดี ยังไงก็ต้องนำร่างของผู้เสียชีวิตกลับไปส่งให้ญาติเพื่อประกอบพิธีอย่างสมเกียรติ แต่กลับกันสองพ่อลูกคงรับไม่ได้กับความเสียหายที่เกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง
ขึ้นอยู่กับชาวเขมรซึ่งสูญเสียญาติพี่น้องที่ตายจากการสู้รบ จะยอมรับสภาพปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเช่นนี้ หรือจะเกิดการเคลื่อนไหวลุกฮือ แต่ดูจากปฏิกิริยาที่มีต่อสถานการณ์การปะทะที่ผ่านมา ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า ผู้คนที่นั่นยังคงถูกครอบงำ หรือปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารที่เป็นจริง อาจต้องเป็นเรื่องของบรรดาประเทศที่อ้างว่าข้าคือผู้รักความเป็นธรรม ปกป้องสิทธิมนุษยชนจากทั่วโลก โดยเฉพาะพี่เบิ้มทั้งหลาย จะมองเห็นความเลวร้ายอันบดซบนี้ แล้วยื่นมือเข้าไปช่วยจัดการหรือไม่ และก็ไม่ใช่หน้าที่ของประเทศไทยที่จะต้องไปช่วยเหลือ หรือดูแลใด ๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องกลิ่นจากซากศพที่รบกวนทหารแนวหน้าตามชายแดนนั้น สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คงต้องส่งทีมจากกรมอนามัย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยดูแลว่าจะสามารถจัดการยังไงได้บ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องกลิ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึง โรคระบาดจากผู้เสียชีวิต ด้วย ถึงขนาดที่ว่ามีการพูดกันเป็นตลกร้ายแล้วว่า หรือนี่จะเป็นแผนอันแยบยลของฮุน เซน ที่ต้องการสร้างอาวุธชีวภาพจากซากศพของทหารของตัวเอง
ดูท่าว่าจะไม่ใช่เรื่องที่คิดกันเล่น ๆ เสียแล้ว เนื่องจาก พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ที่เตรียมบินไปประชุมจีบีซีที่มาเลเซียในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็พูดถึงเรื่องเดียวกันนี้ หากรัฐบาลกัมพูชาปล่อยไว้นานอาจเกิดโรคระบาดได้ และอาจทำให้ชาวเขมรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่พบศพทหารได้รับเชื้อโรค เหนือสิ่งอื่นใดบิ๊กเล็กยังเตือนด้วยว่า ในฐานะทหารด้วยกันต้องเคารพศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น หากเสียชีวิตทหารไทยจะไม่หมิ่นศักดิ์ศรี อะไรก็ตามที่ทำให้ได้รับการดูแลอย่างสมเกียรติก็จะสนับสนุน แต่คงไม่ถึงขั้นต้องไปช่วยเก็บศพแต่อย่างใด
ปัญหาหนักใจอีกอย่างของรัฐบาล คงเป็นเรื่องพวกจ้องเล่นงานใช้ข่าวเท็จเขมรมาทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายบริหารประเทศตัวเอง จนบิ๊กเล็กเรียกร้องพวกเราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง แค่ข่าวปลอมของเขมรก็ต้องมานั่งแก้ปัญหากันทุกวันแล้ว ยังมาเจอข่าวปลอมของคนในประเทศอีก ถูกอย่างที่รัฐมนตรีช่วยกลาโหมขอร้องสื่อมวลชนไทยข่าวอะไรมาให้ตอบโต้ได้เลยเพราะสื่อไม่มีผลทางการ หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของรัฐในการชี้แจง การตอบโต้กลับไปจะเป็นการช่วยรัฐได้ ไม่ใช่ว่ามาลีพูดมาแล้วสื่อมาด่ากองทัพ ทั้งที่กองทัพต้องโต้ด้วยความจริง พูดไปต้องน่าเชื่อถือ การต่อปากต่อคำกับคนแบบนั้นสื่อไทยต้องช่วยกัน
อรชุน