LEO ชี้ปรับลด “ภาษีสหรัฐ” หนุนโลจิสติกส์โต ดันบริการนำเข้า-ส่งออกครบวงจร

LEO ชูโอกาสทองธุรกิจโลจิสติกส์ หลังสหรัฐฯ ปรับลดภาษีนำเข้า-ส่งออก หนุนต้นทุนลด-บริการเติบโต เร่งขยายบริการครบวงจรสหรัฐฯ-ไทย พร้อมชูเครือข่ายพันธมิตรกว่า 280 แห่งใน 40 มลรัฐ


นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO เปิดเผยว่า การปรับลดภาษีส่งออกและนำเข้าจากสหรัฐฯ ครั้งนี้ คือโอกาสทองของผู้ประกอบการไทย ที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าจีนและเวียดนาม ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้นำเข้าสินค้าสินค้าจากอเมริกา เช่น วัตถุดิบชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เทคโนโลยี อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท ก็จะสามารถลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับ LEO ในฐานะผู้ให้บริการ End-to-End Logistics Service Provider พร้อมเป็นพันธมิตรและคู่ค้าในการนำเสนอบริการโลจิสติกส์ครบวงจร ช่วยลดต้นทุน  เพิ่มความเร็ว ขยายโอกาส  พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ โดยสามารถให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทางในสหรัฐฯ จนถึงปลายทางในประเทศไทย ครอบคลุมบริการขนส่งระหว่างประเทศทั้งทางทะเล (Sea Freight) และทางอากาศ (Airfreight), บริการดำเนินพิธีการศุลกากร (Customs Clearance) การจัดเก็บและกระจายสินค้า (Warehouse & Distribution Management) รวมถึงการให้คำปรึกษาในทุกๆ เรื่องสำหรับการนำเข้าและส่งออก

“LEO ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าเท่านั้น แต่เรายังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกลยุทธ์ด้านโลจิสติกส์ให้กับลูกค้า เราเข้าใจความซับซ้อนของการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และพร้อมแนะนำแนวทางที่เหมาะสมที่สุดทั้งในเชิงพาณิชย์และพิธีการศุลกากร เพื่อให้ลูกค้าได้เปรียบในการแข่งขัน” นายเกตติวิทย์ กล่าว

ทั้งนี้ อีกหนึ่งจุดแข็งของ LEO ที่ทำให้สามารถรองรับการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ “เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ (Agency Network)” ที่แข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกา ทางบริษัทฯ มีพันธมิตรมากกว่า 280 agents อยู่ในมากกว่า 40 มลรัฐ ที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร ทำให้สามารถควบคุมระยะเวลา ประสิทธิภาพ และต้นทุนได้อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดส่งสินค้าถึงปลายทางในไทยได้อย่างราบรื่น

อีกทั้ง ในปี 2567 ที่ผ่านมา LEO มี Volume การขนส่งสินค้าทั้งนำเข้า-ส่งออกระหว่างไทย-สหรัฐฯ มากกว่า 8,000 TEUs ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนความมั่นใจของลูกค้าต่อมาตรฐานการให้บริการระดับสากล และชี้ชัดถึงศักยภาพของบริษัท ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะตลาดส่งออกเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับตลาดขาเข้า (Import) อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด LEO  ยังเป็นผู้ประกอบการ Logistic Services Provider (LSP) ของคนไทย ที่สามารถให้บริการในลักษณะ Weekly LCL/ Consolidation Service to/from ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ผู้ประกอบการอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทข้ามชาติ

นายเกตติวิทย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริการนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นหนึ่งใน Product Highlight ตามแผนธุรกิจปี 2568 ของ LEO ที่เราตั้งใจโปรโมทและสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพของเครือข่ายพันธมิตรของเราในประเทศสหรัฐอเมริกาและมองเห็นเทรนด์ของตลาดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการให้บริการแบบครบวงจรที่ลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบาย และต้นทุนที่เหมาะสมมากขึ้น

นอกจากนี้ LEO ยังเตรียมแผนเสริมความแข็งแกร่งในฝั่งบริการดำเนินพิธีการศุลกากร  ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึง Cold Chain Warehouse เพื่อรองรับเทรนด์การค้าระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การปรับลดภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของปริมาณการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญต่อรายได้ของธุรกิจโลจิสติกส์ในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะบริษัทที่มีฐานลูกค้าส่งออก-นำเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ

“LEO มุ่งมั่นเป็นมากกว่าผู้ให้บริการโลจิสติกส์ แต่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่เดินเคียงข้างลูกค้า พร้อมเติบโตไปด้วยกันในยุคที่โลกการค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” นายเกตติวิทย์ กล่าว

Back to top button