
พาราสาวะถี
การประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย วันสุดท้าย (7 ส.ค.) โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง มีบทสรุปที่ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน
การประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ไทย – กัมพูชา ที่มาเลเซีย วันสุดท้าย (7 สิงหาคม) โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง มีบทสรุปที่ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน เป็นแนวทางที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทยร่วมจัดทำกับฝ่ายเลขานุการของฝ่ายกัมพูชา จากนั้น พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอกเตีย เสรยฮา รองนายกฯ และรมว.กลาโหมกัมพูชา ได้ร่วมลงนามบันทึกผลการประชุม ส่วนจะเป็นการหยุดยิงถาวรเหมือนที่มีข้อตกลงร่วมกันหรือไม่ อยู่ที่ความจริงใจของฝ่ายเขมรทั้งสิ้น
เนื่องจากการข่าวพบว่า ในช่วงที่มีการหยุดยิงชั่วคราว ตามข้อตกลงคือห้ามมีการเคลื่อนย้ายหรือเสริมกำลังพล แต่กลับพบว่า ฝ่ายเขมรมีการเติมกำลังทหารเข้าไปในพื้นที่ชายแดนจุดที่มีการปะทะสูงถึงเกือบ 8 หมื่นคน เช่นนี้หมายความว่ามีการเตรียมพร้อมที่จะสู้รบรอบใหม่หรือไม่ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้บิ๊กเล็กย้ำก่อนการประชุมร่วมกับเขมรว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้มาถึงครึ่งทาง ต้องลุ้นว่าทางกัมพูชาจะจริงใจกับไทยด้วยหรือไม่
ในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบก คงประเมินจากท่าทีของฝ่ายเขมรแล้ว ทำให้บิ๊กเล็กชี้ว่า กระบวนการตามข้อหารือทั้งหมดจะประสบความสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับความจริงใจของผู้มีอำนาจฝั่งเขมรเท่านั้น โดยทั้งหมดจะมีอยู่ 3 ระดับคือ การประชุมในระดับจีบีซีในฝ่ายเลขานุการถือว่าเป็นไปด้วยดีสำเร็จไปขั้นหนึ่ง ตามมาด้วยการประชุมและลงนามในระดับนโยบายของจีบีซี สุดท้ายคือ ขั้นตอนการปฏิบัติ จุดนี่แหละที่จะเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจที่แท้จริงของฝ่ายเขมร
ด้วยความไม่ไว้วางใจนี่เอง ที่ทำให้บิ๊กเล็กได้ฝากไปถึงกองทัพที่ไม่เพียงแต่จะช่วยสนับสนุนกลไกการหยุดยิงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเท่านั้น ยังต้องสร้างกลไกผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวขึ้นมา โดยการเชิญผู้ช่วยทูตทหาร หรือตัวแทนหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเข้ามา เพราะปัญหาปัจจุบันที่ทางรัฐบาล ศบ.ทก.ประสบคือ ฝ่ายปฏิบัติของเขมรมีลักษณะยั่วยุ รุกล้ำ แต่พอกองทัพชี้แจงแม้จะเป็นความจริงแต่น้ำหนักจะน้อย หากมีผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวมาเป็นพยาน จะได้มีพยานในเวทีนานาชาติ ด้วย
ไม่ว่าจะกำหนดหรือวางแนวทางกันไว้อย่างไร ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกองทัพ แต่สิ่งที่ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยัน นั่นก็คือ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเห็นพ้องต้องกัน กองทัพจะไม่ถอยกำลัง อยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้น ทั้ง 11 จุดจะทำแบบเดียวกันคือ การวางรั้วลวดหนาม และนำกำลังไปวางไว้ ด้วยเหตุผลสำคัญคือ “การวางกำลังเพื่อป้องกันการกระทำที่ไม่เรียบร้อยต่อแผ่นดิน” ตรงนี้ถือเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง เพราะรู้กันดีถึงฤทธิ์เดชในความปลิ้นปล้อนของอีกฝ่าย
แน่นอนว่า การยืนยันการวางกำลังของทางกองทัพนั้น เป็นไปตามนโยบายของทั้งฝ่ายความมั่นคงและรัฐบาลคือ การวางกำลังอยู่ในเขตประเทศไทย ไม่ได้รุกล้ำหรือยึดพื้นที่นอกประเทศ เรื่องนี้แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำว่า “เรื่องแผ่นดิน ไม่สามารถคุมได้ด้วยเครื่องมือ ต้องใช้คนเฝ้า เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาแล้ว เราจะต้องประกบไว้แบบนี้” สะท้อนภาพได้เป็นอย่างดีว่า ต่อให้จะมีข้อตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างไร ก็ไม่อาจไว้วางใจพวกกลับกลอก หน้าด้านได้
จะเห็นได้ว่าในระหว่างกระบวนการเจรจาที่ทางฝ่ายไทยโดยเฉพาะฝ่ายบริหาร ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามขั้นตอนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แต่อีกฝั่งโดยเฉพาะ ฮุน เซน ยังคงเล่นเกมปล่อยข่าว เรียกร้องตามรูปแบบของพวกหน้าทนต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์เรียกร้องขอทางสหรัฐอเมริกาและสวีเดน ไม่ให้ไทยใช้เครื่องบินเอฟ-16 และกริฟเพ่นโจมตีเขมร ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของคนที่ไร้ยางอาย ทั้งที่เป็นฝ่ายก่อสงครามก่อน
นั่นจึงที่มาของคำตอบจากแม่ทัพภาคที่ 2 ที่คนไทยต้องปรบมือให้ “เป็นเรื่องของเรา เขาขอไม่ให้ใช้ก็ไม่เป็นไร แต่เราจะใช้เพื่อปกป้องอธิปไตยของเรา” คงไม่ต่างจากกรณีข่าวว่าทางไทยจะมีการลอบสังหารสองพ่อลูกตระกูลฮุน ที่เป็นข่าวมาจากฝ่ายเขมรฝั่งเดียว ซึ่งส่วนใหญ่หรือแทบจะ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น หลังจากนี้สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังสำหรับประเทศไทย นอกเหนือจากการปะทะตามแนวชายแดนทั้ง 11 จุดแล้ว น่าจะเป็นเรื่องการตรวจจับพวกสายลับเขมรที่แฝงตัวไปตามพื้นที่ต่าง ๆ
กรณีการจับกุม ทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน หรือ BHQ ได้ที่บุรีรัมย์ ข้ออ้างมีเมียเป็นคนไทย ทำให้เดินทางเข้าออกเป็นเรื่องปกติคงฟังไม่ขึ้น ความจริงเรื่องนี้ตำรวจไม่ควรจะเปิดเผยให้เป็นข่าว น่าจะทำงานในทางลับ สืบสวนสอบสวนให้เกิดความกระจ่าง การพบชุดทหารติดยศ และระบุสังกัดชัดเจน พอจะทำให้เห็นเจตนาแล้วว่า ไม่ใช่แค่นำมาใส่โชว์พ่อตาแม่ยายหรือเมียคนไทย แต่จะนำไปใช้ใส่ร้ายประเทศ หากมีเหตุปะทะ แล้วสามารถก่อวินาศกรรมหรือทำลายเป้าหมายที่ได้วางไว้เสร็จ เพราะ ถ้าไม่เตรียมชุดให้พร้อม จะกลับเข้าประเทศตามตะเข็บชายแดนที่มีการปะทะกันได้อย่างไร จุดนี้สำคัญ
เรื่อง โดรนสอดแนมอาจจะน่ากลัวน้อยกว่าการส่งพวกสปายเข้ามาล้วงข้อมูล และหลายจุดอาจถึงขั้นวางแผนโจมตีเป้าหมายหน่วยงานด้านความมั่นคง เสียด้วยซ้ำ เชื่อว่าการข่าวทางฝ่ายความมั่นคงน่าจะรู้ดีในเรื่องนี้ กรณีที่เป็นข่าวอาจจะเกิดจากลักษณะกฎระเบียบในการทำงานของตำรวจที่เมื่อมีการจับกุมแล้วต้องรายงานตามสายบังคับบัญชา และเล็ดลอดไปถึงสื่อ ยิ่งเป็นตำรวจภูธรด้วยอาจยังไม่เชี่ยวชาญกับการทำงานในทางลับ ถือเป็นบทเรียน และทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องคงต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้
สถานการณ์ความมั่นคงของประเทศกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่คนให้ความสนใจ จนมองข้ามประเด็นทางการเมืองต่าง ๆ ไป เหมือนที่กระทรวงมหาดไทย หลังรับตำแหน่งมท.1 ของ ภูมิธรรม เวชยชัย มีการย้ายระดับอธิบดีไปแล้วถึง 4 คน ถือเป็นการล้างบางคนสายสีน้ำเงิน ซึ่งทางบิ๊กอ้วนยืนยันทุกอย่างว่ากรรมตามผลของการทำงาน ล่าสุด ยังย้ำแนวทางการเด้งคนที่ไม่ตอบสนองเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล โดยบอกว่า ไม่ได้มาข่มขู่ข้าราชการหรือมาใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่อยากเห็นการแก้ไขปัญหาที่ประชาชนรู้สึกและอยากแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจัง เข้าใจว่าเวลารัฐบาลเหลือไม่มาก อะไรที่ทุบได้ต้องทุบเพื่อเร่งสร้างผลงานให้ได้
อรชุน