
พาณิชย์เร่งครึ่งปีหลัง ดันโควต้าข้าว 2.8 แสนตัน บุกแดนมังกร–ซาอุ–ญี่ปุ่น–บังกลาเทศ
รมว.พาณิชย์ สั่งกรมการค้าต่างประเทศเร่งใช้โควต้าข้าวจีน 2.8 แสนตัน เปิดตลาดใหม่ผ่านงานใหญ่ บุกซาอุฯ ญี่ปุ่น บังกลาเทศ ฮ่องกง ขณะสมาคมผู้ส่งออกฯ ร้องดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งเกิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายฉันทวิชญ์ ตันฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย นำโดย ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ เพื่อหารือสถานการณ์ส่งออกข้าวของประเทศไทย ช่วงครึ่งปีหลัง 2568
นายจตุพร กล่าวว่า ข้าวเป็นสินค้าเกษตรหลักที่มีผลต่อรายได้เกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศ หากการส่งออกมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยา และต้นทุนการผลิต โดยริเริ่ม “โครงการธงเขียว” เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกร และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวอีกว่า มอบหมายกรมการค้าต่างประเทศประสานทูตพาณิชย์เร่งติดต่อกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าว ตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน พร้อมเจาะตลาดใหม่ ผ่านงาน China-ASEAN EXPO 2025 ณ เมืองหนานหนิง ในเดือนกันยายน 2568 และงาน China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เดือนพฤศจิกายน 2568 นอกจากนี้ ยังเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง รวมทั้งฮ่องกง ที่ตลาดข้าวหอมมะลิมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
ส่วนภายในประเทศ ได้สั่งให้กรมการค้าภายใน เตรียมออกมาตรการส่งเสริมการบริโภคและระบายสต็อกข้าวนาปี คาดว่า จะสามารถดึงข้าวเปลือกออกได้ประมาณ 8.5 ล้านตัน ผ่านจุดกระตุ้นตลาดนัดข้าวเปลือก สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และยุ้งฉางของเกษตรกร เพื่อให้มีแรงซื้อในประเทศ พร้อมเร่งระบายข้าวไปยังตลาดทั่วโลก
นายกสมาคมผู้ส่งออกฯ เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย ซึ่งหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าโดยตรง พร้อมกันนี้ เสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น
ขณะที่นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกฯ กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซีย ปี 2567 เคยนำเข้า 4 ล้านตัน คาดช่วงปลายปีอาจซื้อเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกัน ราคาข้าว ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19-20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง
นายชูเกียรติ กล่าวว่า คู่แข่งพัฒนาพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้นทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่า ก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อ จะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ดังนั้นต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง พร้อมเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่ม ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย
จากรายงานของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก (เดือนมกราคม – มิถุนายน) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ คาดว่า ทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากปัจจัยสำคัญ อาทิ ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาส่งออกปริมาณมากและมีสต็อกข้าวในประเทศสูง ขณะที่อินโดนีเซียลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า
สำหรับชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา คือข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย โดยมีตลาดสำคัญ คือ อิรัก สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล โดยข้าวของไทยยังคงสามารถขยายตลาดได้ในตะวันออกกลางและยุโรป แม้ตลาดเอเชียและแอฟริกาจะหดตัวลง