AOT-III วิ่งคึก! รับ AOTGA ชนะประมูล “ภาคพื้น-คาร์โก้” สุวรรณภูมิ 6.7 หมื่นล้าน

AOT-III วิ่งคึกหลัง AOTGA ชนะประมูลงานผู้ประกอบการรายที่ 3 โครงการบริการลานจอดอุปกรณ์ภาคพื้น และบริการคลังสินค้า สุวรรณภูมิ มูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท เตรียมรายงาน “สุริยะ” ก.ย.นี้ ก่อนเสนอครม.เดือนต.ค. พร้อมเซ็นสัญญาภายในปี 68


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (25 ส.ค.68) ราคาหุ้นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA ปรับตัวขึ้นยกแผงรับข่าวชนะประมูลโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น และโครงการให้บริการคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำโดย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 10.08 น. อยู่ที่ระดับ 38.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.00% สูงสุดที่ระดับ 38.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 38.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 120.54 ล้านบาท

บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III อยู่ที่ระดับ 5.00 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 1.21% สูงสุดที่ระดับ 5.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 0.99 ล้านบาท

โดย คณะกรรมการตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ได้สรุปผลการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน (PPP) จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 67,305 ล้านบาท ได้แก่ โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 3 วงเงิน 29,390.76 ล้านบาท

รวมถึงโครงการให้บริการคลังสินค้า (คาร์โก้) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 วงเงิน 37,914.56 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิค 2 ราย คือบริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA กับบริษัท แบ๊กส์บริการภาคพื้น จํากัด

โดยผลการประมูลครั้งนี้ AOTGA เป็นผู้ชนะการคัดเลือกทั้ง 2 โครงการ โดยได้คะแนนนำทั้งข้อเสนอด้านเทคนิคและข้อเสนอด้านราคา (ข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐ) ซึ่งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ AOT ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการได้รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ AOT รับทราบแล้ว

โดยล่าสุดคณะกรรมการตามมาตรา 35 ได้ให้ AOTGA สรุปรายละเอียดการเจรจาข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐอย่างเป็นทางการ และนำส่งคณะกรรมการตามมาตรา 35ฯ ภายในสัปดาห์นี้ จากนั้นจะรายงานไปยังนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในเดือนกันยายน เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือนตุลาคม 2568 และ AOT จะสามารถลงนามในสัญญากับ AOTGA ได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2568

สำหรับ AOTGA มี AOT ถือหุ้น 49% และบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ SAL ถือหุ้นอีก 51% (บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ถือหุ้นใน SAL 46.8%, บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ถือหุ้น 25.46%, บริษัท มายบ็อกส์ จำกัด ถือหุ้น 13.60%) ทำให้ SKY มีสัดส่วนการถือหุ้นใน AOTGA ประมาณ 24%

ทั้งนี้ AOT จะมีรายได้หลักจากค่าตอบแทน จากผู้ชนะการประมูลและรายได้จากกิจการการบิน (Aeronautical Revenues) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50-55% เพิ่มขึ้นจากค่าบริการขึ้นลงอากาศยาน (Landing Charge) และค่าบริการเก็บอากาศยาน (Parking Charge) ที่เรียกเก็บจากสายการบิน รวมทั้งค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charges)

โดยล่าสุด AOT จะปรับขึ้นค่า PSC เพิ่มขึ้นอีก 5 บาท จากปัจจุบันผู้โดยสารระหว่างประเทศ จัดเก็บที่ 730 บาทต่อคน เพิ่มเป็น 735 บาทต่อคน ส่วนผู้โดยสารในประเทศ จัดเก็บอยู่ 130 บาทต่อคน เพิ่มเป็น 135 บาทต่อคน ซึ่งอยู่ระหว่างรอคณะกรรมการการบินพลเรือน หรือ กบร. เห็นชอบ

“หลังจากมีผู้ให้บริการรายที่ 3 เพิ่มขึ้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก็จะสามารถรองรับเที่ยวบินและนักท่องเที่ยวได้มากกว่าเดิม เนื่องจากก่อนหน้านี้แม้มีสายการบินที่แสดงเจตจำนงจะเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากบริการภาคพื้นยังไม่พร้อมรองรับปริมาณที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ประเทศไทยพลาดโอกาสดังกล่าว”

ก่อนหน้านี้ นายสิริวัฒน์  โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ AOTGA เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า หาก AOTGA ได้รับงานทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ก็จะต้องเตรียมเงินลงทุนรวม 2 โครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่ง AOTGA มีความพร้อมทั้งกระแสเงินสด และเครดิตที่ดี ซึ่งจะสามารถกู้สถาบันการเงินเพิ่มเติมได้ ขณะที่ AOT นั้นจะได้รับรายได้จาก AOTGA 2 รูปแบบ คือ ได้รับในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้น 49% และได้รับในฐานะที่เป็นเจ้าของโครงการด้วย ซึ่งในฐานะเจ้าของโครงการนั้นจะได้รับทั้งค่าสัมปทาน และการการันตีรายได้ขั้นต่ำ (Minimum Guarantee)

สำหรับโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 จะดำเนินการในรูปแบบ  PPP Net Cost (เอกชนแบ่งรายได้-ผลประโยชน์แก่รัฐ) โดยภาครัฐรับผิดชอบในการจัดหาที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการและกำกับดูแลติดตามตรวจสอบคุณภาพการดำเนินงานของเอกชน ส่วนเอกชนมีหน้าที่ในการจัดหาเงินทุน ออกแบบ และก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง จัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับการให้บริการตามมาตรฐาน บริหารจัดการโครงการตามขอบเขตและเงื่อนไขที่ AOT กำหนด

ส่วนเงินลงทุนตามโครงการจะมาจากเอกชนทั้งหมดจำนวน 29,390.76 ล้านบาท แยกเป็นค่าลงทุนในสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักรอุปกรณ์ 1,608.76 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและบำรุงรักษา 27,782.01 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 25 ปี มีขอบเขตการดำเนินงานในกลุ่มบริการหลักของผู้ให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น อาทิ บริการอุปกรณ์สนับสนุนอากาศยาน การขนถ่ายเคลื่อนย้ายกระเป๋า สัมภาระ สินค้าและไปรษณีย์ภัณฑ์ ขนถ่ายและเคลื่อนย้ายผู้โดยสารและลูกเรือ และกลุ่มบริการอื่น ๆ

ด้านโครงการให้บริการคาร์โก้ฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 จะเป็นการลงทุนแบบ PPP Net Cost เช่นกัน โดยฝ่ายรัฐรับผิดชอบจัดหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการและกำกับดูแลการดำเนินการของเอกชน ส่วนเอกชนมีหน้าที่จัดหาเงินทุน ออกแบบและก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง จัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ บำรุงรักษา บริหารจัดการโครงการคลังสินค้าตามขอบเขตและเงื่อนไขที่ AOT กำหนด เงินลงทุนตามโครงการมาจากเอกชนทั้งหมด 37,914.56 ล้านบาท แยกเป็น ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์และระบบรวม 1,318.38 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและบำรุงรักษา 36,596.18 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 25 ปี ขอบเขตการดำเนินงานครอบคลุมทั้งคลังสินค้าขาเข้า คลังสินค้าขาออก คลังสินค้าถ่ายลำ สินค้าเน่าเสียง่าย สินค้าเร่งด่วน และสินค้า อี-คอมเมิร์ซ

 

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรณี AOTGA ที่ถือหุ้นใหญ่โดย  AOT ชนะประ มูลผู้ให้บริการภาคพื้นดินและคาร์โก้รายที่ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่ารวม 6.7 หมื่นล้านบาท จะเป็นอัพไซด์ต่อกำไรของ AOT ประมาณ 5%

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กรณี AOTGA ได้สิทธิ Ground Handling รายที่ 3 จะเป็น Upside เชิงกลยุทธ์ และเชิงกำไร ต่อ AOT นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มรายได้ใหม่ เพิ่มอำนาจต่อรองจากการ Synergy กับสายการบิน ต่อยอด Ecosystem ในอนาคต

Back to top button