“ดาวโจนส์” ปิดลบ 349 จุด จับตางบ Nvidia–ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ

“ดาวโจนส์” ปรับตัวลงขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ นักลงทุนรอผลประกอบการ Nvidia และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ปลายสัปดาห์นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันจันทร์ (25 ส.ค.68) เปิดสัปดาห์ท้ายเดือนสิงหาคม ดัชนีหลักทั้งสามปรับตัวลง หลังจากเพิ่งทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนหันมาจับตาผลประกอบการของบริษัท Nvidia (NVDA) และข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์นี้

โดย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 45,282.47 จุด ลดลง 349.27 จุด หรือ 0.77%  ขณะที่ ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,439.32 จุด ลดลง 27.59 จุด หรือ 0.43% และดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ซึ่งมีหุ้นเทคโนโลยีในสัดส่วนสูง ปิดที่ 21,449.29 จุด ลดลง 47.24 จุด หรือ -0.22%

ภาพรวมของตลาดถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มสุขภาพ นำโดย Merck ร่วง 2.4%, Amgen -1.8%, Pfizer -2.9% และ Eli Lilly -2.3% รวมถึงหุ้นค้าปลีกและเฟอร์นิเจอร์อย่าง RH, Wayfair และ Williams-Sonoma ที่ดิ่งลง 2.7%–5.9% หลังความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน

ขณะเดียวกันดัชนี Russell 2000 ซึ่งสะท้อนหุ้นขนาดเล็กปรับตัวลงกว่า 1% สะท้อนให้นักลงทุนเลือกถือท่าทีระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่ ตลาดพันธบัตรผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ขยับขึ้นแตะ 4.28% บ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านนโยบายการเงินที่ยังไม่แน่นอน

สำหรับความเคลื่อนไหวรายตัว นักลงทุนรอคอยผลประกอบการของ Nvidia หุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดในดัชนี S&P 500 ซึ่งจะประกาศหลังปิดตลาดวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ 1.01 ดอลลาร์ และรายได้รวม 46.13 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกันราคาเป้าหมายของหุ้นถูกปรับขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นว่าความต้องการฮาร์ดแวร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงแข็งแกร่ง ด้าน Intel ปรับขึ้น 2% หลังสหรัฐฯ อนุมัติเงินสนับสนุน 11.1 พันล้านดอลลาร์ ผ่านกองทุน CHIPS Act ส่วน JDE Peet’s พุ่งกว่า 17% หลัง Keurig Dr Pepper ประกาศแผนเข้าซื้อกิจการมูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้น Keurig ร่วง 11%

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญช่วงปลายสัปดาห์ ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE inflation) และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ใช้ประกอบการตัดสินใจทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป

Back to top button