
KKPS แนะสอย PTT เป้า 40 บาท รับแผน Asset Monetization ดันแฟลกชิพพลังงาน-ปันผลเด่น
“บล.เกียรตินาคินภัทร” แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTT ราคาเป้าหมาย 40 บาท ตอบรับกลยุทธ์สร้างมูลค่าทรัพย์สิน เร่งตั้งแฟลกชิพพลังงาน-โลจิสติกส์ พร้อมแผนขายกิจการ Non-hydrocarbon หนุนกระแสเงินสดและความแข็งแกร่งธุรกิจระยะยาว
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมในงาน Thailand Focus เกี่ยวกับแผนการสร้างมูลค่าจากทรัพย์สิน (Asset Monetization) โดยเน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมีหัวใจสำคัญคือการจัดตั้ง “แฟลกชิพด้านพลังงานไฟฟ้า” ที่จะรวบรวมสินทรัพย์ด้านไฟฟ้าของบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เข้าด้วยกัน
โดย ไทยออยล์ มีการดำเนินการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ไทยออยล์ เอสพีพี ตั้งแต่ปี 2559 มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 354 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 757 ตันต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังถือหุ้น 10% ในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 7,236 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้า ไทยออยล์ เอสพีพี มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 1,650 ล้านบาทในปี 2567 และ 1,740 ล้านบาทในปี 2566
ขณะที่ พีทีที โกลบอล เคมิคอล มีหน่วยโรงไฟฟ้าขนาดประมาณ 350 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าและไอน้ำที่ผลิตได้ถูกใช้ภายในองค์กร และถือหุ้น 10% ใน โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ส่วน ไออาร์พีซี ถือหุ้น 49% ในบริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานร่วมขนาด 310 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตไอน้ำ 306 ตันต่อชั่วโมง โดยมีกำไรสุทธิ 597 ล้านบาทในปี 2567
นอกจากนี้ ปตท. ยังเตรียมจัดตั้ง “แฟลกชิพด้านโครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อรวมสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ เช่น เครือข่ายท่อส่งน้ำมัน ถังเก็บน้ำมัน และท่าเรือจาก พีทีที โกลบอล เคมิคอล, ไทยออยล์ และ ไออาร์พีซี โดยคาดว่าเฟสแรกของการรวมสินทรัพย์ดังกล่าวจะเสนอขอมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในที่ประชุมวิสามัญ (EGM) ในไตรมาส 4 ปี 2568 ทั้งนี้ ปตท. จะใช้การกู้ยืมจากแหล่งเงินต้นทุนต่ำตามความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อดำเนินการโอนสินทรัพย์
สำหรับการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ธุรกิจไฮโดรคาร์บอน (Non-hydrocarbon) โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า มีความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2568 โดย ปตท. ได้ขายหุ้น 40% ในบริษัท ฮอไรซอน พลัส จำกัด ในไตรมาสแรก และขายหุ้น 50% ในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ จำกัด ในไตรมาสสาม พร้อมแผนขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดในครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่การขายทรัพย์สินขนาดเล็กและขนาดกลางอื่น ๆ จะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4 ปี 2568
โดย ปตท. คาดว่ากิจกรรมการสร้างมูลค่าและการขายทรัพย์สินเหล่านี้จะสร้างเม็ดเงินใหม่ราว 30,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 (ไม่รวมธุรกรรมภายในกลุ่ม) โดยส่วนใหญ่จะมาจากการจำหน่ายสินทรัพย์ตามแผนงาน
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS มองว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้น โดยส่วนลดมูลค่าที่ลึกเมื่อเทียบกับมูลค่ารวมชิ้นส่วน (SoTP) ที่ 40 บาทต่อหุ้น และอัตราเงินปันผลที่โดดเด่น ยังคงสนับสนุนมุมมองการลงทุนเชิงบวกต่อหุ้นปตท.