
เงา “Lehman” ยังไม่จาง.. ถอดบทเรียนแรงเทขายหุ้น “ธนาคารสหรัฐ”
หลังเหตุการณ์ Lehman Brothers ล่มเมื่อ 17 ปีก่อน วงการธนาคารสหรัฐฯ มั่นคงกว่าเดิม แต่เหตุเล็ก ๆ จาก Zions และ Western Alliance ธนาคารขนาดกลางสองแห่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับจุดคำถามถึงรากฐานความเสี่ยงในระบบการเงิน ว่าความเปราะบางที่ตลาดเผชิญวันนี้ เป็นเพียงเงาของอดีต หรือสัญญาณเตือนรอบใหม่
แรงเทขายหุ้นธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ ภายในวันเดียว เพียงพอจะปลุกเงาของ “Lehman Moment” ให้กลับมาหลอนตลาดอีกครั้ง ความกลัวที่คิดว่าผ่านพ้นไปแล้ว ดูเหมือนยังไม่จากไปไหน
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกเทขายหนักในหุ้นกลุ่มธนาคาร ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 45,952.24 จุด ลดลง 301.07 จุด หรือ –0.65% หลังเกิดข่าวลบจากธนาคารขนาดกลางสองแห่ง ได้แก่ Zions Bancorporation และ Western Alliance Bancorp
Zions ตั้งค่าใช้หนี้เสีย (charge-off) 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสินเชื่อเชิงพาณิชย์ 2 รายการของหน่วย California Bank & Trust หลังพบข้อมูลไม่ตรงตามสัญญาและความผิดปกติบางประการ ขณะที่ Western Alliance ได้ยื่นฟ้องผู้กู้ Cantor Group V, LLC ในข้อกล่าวหาฉ้อโกงเอกสารหลักประกันเงินกู้ ซึ่ง Cantor ปฏิเสธ แม้จะเป็นคดีเฉพาะราย แต่ก็เพียงพอจะกระตุ้นแรงขายในหุ้นธนาคารภูมิภาค
“เมื่อคุณเห็นแมลงสาบตัวหนึ่ง แสดงว่าน่าจะมีอีกหลายตัว” คำกล่าวของ เจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ซีอีโอ JPMorgan Chase ที่เคยเปรียบเปรยถึงความเสี่ยงในตลาดการเงินเมื่อหลายปีก่อน ถูกนำกลับมาอ้างอีกครั้งในห้วงที่ความเชื่อมั่นเริ่มสั่นไหว
ย้อนไปเมื่อ 2551 (ค.ศ. 2008) ชื่อของ Lehman Brothers คือจุดเริ่มต้นของวิกฤติซับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยความเสี่ยงสูง เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง บริษัทสูญเสียสภาพคล่องอย่างรุนแรง และต้องยื่นล้มละลายเมื่อ 15 กันยายน 2551 กลายเป็นชนวนให้ระบบการเงินโลกเข้าสู่วิกฤติ หรือที่สื่อไทยรู้จักกันในชื่อ “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์”
การล่มสลายของ Lehman เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปล่อยให้ธนาคารการลงทุนขนาดใหญ่ล้มโดยไม่อุ้ม ผลกระทบจึงลุกลามเป็น “โดมิโน่วิกฤติ” จากวอลล์สตรีทสู่เศรษฐกิจโลก
กว่า 15 ปีหลัง Lehman โลกการเงินยังไม่พ้นแรงสั่น ปี 2566–2567 (ค.ศ. 2023–2024) Silicon Valley Bank (SVB) กลายเป็นธนาคารแรกที่พังลงในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น จากการนำเงินฝากของธุรกิจสตาร์ทอัพไปลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ขณะที่ถือเงินสดไว้เพียงเล็กน้อย เมื่อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง มูลค่าพันธบัตรลดลง จนต้องขายขาดทุน ลูกค้ากลุ่มสตาร์ทอัพแห่ถอนเงินกว่า 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในวันเดียว ธนาคารขาดสภาพคล่อง และล้มลง
ไม่นานหลังจากนั้น First Republic Bank (FRB) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นผู้มีความมั่งคั่งสูง (High-net-worth clients) ก็เจอปัญหาคล้ายกัน เพราะเงินฝากส่วนใหญ่เกินวงเงินคุ้มครองของ บรรษัทคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐฯ (FDIC) เมื่อลูกค้าขาดความเชื่อมั่นหลังเห็นกรณี SVB จึงถอนเงินออกเป็นวงกว้าง
ขณะเดียวกัน FRB มีพอร์ตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ระยะยาวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งสูญเสียมูลค่าเมื่อดอกเบี้ยขยับขึ้น ทำให้ธนาคารขาดทุนทางบัญชีและสภาพคล่องรุนแรง แม้ได้รับเงินอัดฉีดกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก JPMorgan, Citi และ Wells Fargo แต่สุดท้าย FRB ถูกทางการเข้าควบคุม และขายให้กับ JPMorgan เมื่อ 1 พฤษภาคม 2566
เหตุของ Zions และ Western Alliance จึงไม่ใช่เรื่อง “ขนาด” ของความเสียหาย หากแต่เป็น “ความทรงจำ” ของตลาดที่ยังไม่จาง ระบบธนาคารสหรัฐฯ วันนี้มีทุนสำรองและสภาพคล่องแข็งแรงกว่าก่อนปี 2008 ภายใต้กฎหมาย Dodd-Frank Act ที่เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแล
ขณะที่ Fed และ FDIC มีเครื่องมือดูแลความเสี่ยงพร้อมกว่าเดิม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ “ความเปราะบางของความเชื่อมั่น” ที่ทำให้เมื่อธนาคารระดับกลางเกิดปัญหา ตลาดยังตอบสนองราวกับทุกอย่างกำลังจะพัง
เพียงวันถัดมา 17 ตุลาคม 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกบวก ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,190.61 จุด เพิ่มขึ้น 238.37 จุด หรือ +0.52% หุ้นธนาคารภูมิภาครีบาวด์กลับเกือบทั้งหมด นักวิเคราะห์มองว่า ความกังวลด้านเครดิต “เกินจริง” เพราะโดยพื้นฐาน คุณภาพสินเชื่อยังแข็งแกร่ง
ภาพนี้สะท้อนตลาดยุคใหม่ ฟื้นเร็ว เพราะกลัวเร็ว ข้อมูลไหลเร็ว ข่าวกระจายไว ความกลัวแพร่ได้ในไม่กี่นาที แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดก็เรียนรู้จะ “ตั้งสติ” ได้เร็วกว่าเดิม
แม้ระบบธนาคารสหรัฐฯ วันนี้จะมั่นคงกว่าเมื่อสิบปีก่อน แต่เหตุ Zions–Western Alliance เตือนว่า “ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างเล็ก ๆ” ก็ยังสามารถจุดชนวนปฏิกิริยาแบบปี 2008 ได้ทุกเมื่อ