KKPS หวั่นไทยเสียเปรียบ หลังสหรัฐฯ กีดกันสินค้าจีนแฝง กระทบซัพพลายเชนโลก

KKPS เตือนความเสี่ยงส่งออกไทย หลังสหรัฐฯ เข้มงวดกฎถิ่นกำเนิดสินค้าตามเกณณ์ RVC กระทบอุตสาหกรรม อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์ เสี่ยงเสียสิทธิภาษีและเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ขณะนี้ไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นจากนโยบายกีดกันทางการค้าชุดใหม่ของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบมากกว่าตัวเลขอัตราภาษีที่เห็น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแนวโน้มสร้างแรงกระเพื่อมต่อเนื่องไปถึงห่วงโซ่อุปทานระดับโลกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)

แม้ว่าภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้กับสินค้าส่งออกไทยจะอยู่ที่ 19% แต่ความสิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ ภาษีนำเข้า 40% สำหรับสินค้าสวมสิทธิ์ หรือที่ถูกระบุว่ามีวัตถุดิบนำเข้าจากจีนสูงเกินเกณฑ์ ซึ่งจะถือว่าเป็นสินค้า “Transshipment” ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมหลักของไทยได้

จุดศูนย์กลางของปัญหาอยู่ที่นิยาม “ถิ่นกำเนิดสินค้า” (origin) ตามเกณฑ์ Regional Value Content (RVC) หรือเกณฑ์การคํานวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ ซึ่งหากสหรัฐฯ เรียกร้องให้มี RVC สูงถึง 50-60% ซึ่งสินค้าไทยในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องจักร อาจสูญเสียสิทธิพิเศษด้านภาษี และต้องเผชิญอัตราภาษีใหม่ที่สูงขึ้น

นักวิเคราะห์ KKPS ระบุว่า การเติบโตของไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมานั้นขึ้นอยู่บนการเก็บเกี่ยวประโยชน์จากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ด้วยเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากจีนและสิงคโปร์ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมาไทยเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่หากเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าเข้มงวดยิ่งขึ้น กลยุทธ์นี้จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป และอาจทำให้การลงทุนจากจีนชะลอลง แม้จะมีการลงทุนจากญี่ปุ่นหรือชาติฝั่งตะวันตกเข้ามาแทนบางส่วน แต่อาจไม่สามารถทดแทนเม็ดเงินที่สูญหายไปได้

ข้อมูลการค้าในปัจจุบันยังสะท้อนจุดเปราะบางของไทยอย่างชัดเจน โดยดุลการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เกินดุลเพิ่มขึ้น ขณะที่ขาดดุลกับจีนมากขึ้น สะท้อนว่าหลายรายการสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ของไทยแท้จริงมีสัดส่วนส่วนประกอบจากจีนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความเสี่ยงไม่ได้กระจายเท่าเทียมในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และอะไหล่ยานยนต์เป็นกลุ่มที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศสูงมากถึง 40-60% ซึ่งถ้าหากสหรัฐฯ เข้มงวดในการตรวจสอบมากขึ้น สินค้าเหล่านี้มีโอกาสถูกเก็บภาษีสูง ในขณะที่กลุ่มอาหาร เกษตร และเคมีภัณฑ์ ซึ่งใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นส่วนใหญ่จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า

นอกเหนือจากการสูญเสียความสามารถการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ แล้วไทยยังอาจต้องรับมือกับสินค้านำเข้าจีนราคาถูกที่จะทะลักเข้าสู่ตลาดภายในประเทศอีกด้วย

เนื่องจากถิ่นกำเนิดสินค้ากำลังถูกตรวจสอบมากยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยต้องการที่จะรักษาสถานะของประเทศในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลกจำเป็นที่จะต้องเร่งส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบในประเทศ เชื่อมโยงซัพพลายเออร์ไทยเข้าห่วงโซ่การผลิตของประเทศให้มากขึ้น ตลอดจนเดินหน้าเจรจาหาข้อยกเว้นหรือวิธีปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปกับทางการสหรัฐฯ ให้ได้

Back to top button