สภา กทม. ส่งซิกอันตราย! หนี้สายสีเขียว 3.1 หมื่นล้าน จับตา “ชัชชาติ” หาทางออกใน 30 วัน

คณะกรรมการวิสามัญฯ สภา กทม. แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อภาระหนี้สินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่อาจสูงถึง 31,522 ล้านบาท ชี้ชัดเป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพทางการเงินของ กทม. พร้อมเสนอทางออกให้เร่งเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ผู้ว่าฯ กทม. ที่รับปากจะนำเสนอความคืบหน้าภายในหนึ่งเดือน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง) วันนี้ (12 ก.ย. 68) มีการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2568 โดยมี นายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ทางสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ได้หารือประเด็นปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 รวมถึงภาระหนี้ที่ค้างจ่ายเอกชน

โดยในตอนหนึ่ง นางกนกนุช กลิ่นสังข์ ส.ก.เขตดอนเมือง ในฐานะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว (บางส่วน) รายงานผลการศึกษาของรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการฯ ถึงปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2

โดยรายงานระบุว่า กทม. มีภาระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ค้างชำระจำนวนมากช่วงฟ้องครั้งที่ 2 (มิถุนายน 2564 – ตุลาคม 2565) กทม.ต้องจ่ายรวม 12,245 ล้านบาท โดยส่วนต่อขยายที่ 1 เป็นเงินต้น 2,279 ล้านบาท ดอกเบี้ย 501 ล้านบาท ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเงินต้น 7,848 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1,617 ล้านบาท ช่วงพฤศจิกายน 2565 – ธันวาคม 2567 ต้องชำระเพิ่มรวม 17,121 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยายที่ 1 เงินต้น 3,242 ล้านบาท ดอกเบี้ย 274 ล้านบาทส่วนต่อขยายที่ 2 เงินต้น 12,615 ล้านบาท ดอกเบี้ย 990 ล้านบาท

ขณะที่ประมาณการปี 2568 ทั้งปี (มกราคม – ธันวาคม) ต้องชำระอีก 8,361 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,612 ล้านบาทและส่วนต่อขยายที่ 2 อีก 6,149 ล้านบาท

“รวมภาระหนี้ทั้งหมด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสูงถึง 31,522.8 ล้านบาท เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อเสถียรภาพการเงินของ กทม.” นางกนกนุชระบุ

ทั้งนี้ กทม. มอบหมายให้กรุงเทพธนาคม เจรจากับ บริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) แล้ว 4 ครั้ง โดยเสนอแนวทางชำระหนี้ตาม “ต้นทุนจริง” ซึ่งต่ำกว่าสัญญา 18% แต่การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ BTSC ไม่ยอมรับข้อเสนอ

โดยผลสรุปการเจรจามี 4 ทางเลือก เช่น ขอให้ถอนฟ้อง แลกกับการชำระหนี้ หรือหากไม่ยอม ต้องไปหาข้อยุติที่ศาลปกครองกลางรวมถึงการขอให้ลดดอกเบี้ย แต่หากไม่ยอม กทม. จะจ่ายเฉพาะต้นทุนก่อน

ด้าน BTSC เสนอให้ กทม. ชำระตรงภายใน ตุลาคม 2568 ครบทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อยุติปัญหาความซ้ำซ้อนทางการเงิน หากเงินไม่พอ ต้องนำไปตัดดอกเบี้ยค้างก่อน แล้วจึงตัดเงินต้น และหากผิดนัดชำระ อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้น กลับไปใช้อัตรา MLR+1% เช่นเดียวกับในคดีแรก

ด้าน คณะกรรมการวิสามัญฯ มีความเห็นว่า ดอกเบี้ยที่พอกพูนจะยิ่งซ้ำเติมภาระการเงินของ กทม.ให้หนักขึ้น พร้อมชี้ว่าคดีในศาลปกครองกลางมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับคดีแรก ซึ่งเคยมีคำพิพากษาให้ BTSC ชนะและได้รับสิทธิชำระหนี้ ดังนั้น จึงเสนอให้ฝ่ายบริหารเร่งดำเนินการเจรจาโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยบานปลาย และรักษาผลประโยชน์สูงสุดแก่ กทม.

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่า รับทราบรายงานแล้ว เตรียมตรวจสอบเงินสะสมจ่ายขาดและเงื่อนไขทางกฎหมายทั้งหมดพร้อมเร่งหาข้อยุติ คาดว่าจะมีความคืบหน้าภายใน 30 วัน ก่อนนำกลับมารายงานต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร

ขณะที่ นายนภาพล จีระกุล ส.ก. เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว (บางส่วน) กล่าวขอบคุณสภาที่มอบหมายให้ทำการศึกษาและหาทางแก้ไขย้ำว่าจุดมุ่งหมายสูงสุด คือให้ กทม. และประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุด

Back to top button