“เอกนิติ” สั่งคลังตั้งทีมไล่ล่า “เงินปริศนา” ล้นแสนล้าน หวั่นโยงธุรกิจสีเทา-บาทแข็ง

“เอกนิติ” รองนายกฯ-รมว.คลัง จับมือ “ลวรณ” ตั้งทีมไล่ล่าเงินปริศนาแสนล้าน สั่ง “connect the dots” เชื่อมโยงปมธุรกิจสีเทา-เงินไหลเข้ากดดันค่าเงินบาท นักวิชาการเตือนรัฐเร่งอุดช่องโหว่ หวั่นไทยถูกมองเป็นฐานฟอกเงิน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักข่าวอิศรา รายงานเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบพบความผิดปกติ มีเงินไหลเข้าประเทศไทยโดยไม่ทราบที่มา หรือเป็นความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าสูงถึงไตรมาสละ 3,000–4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 95,000–127,000 ล้านบาท (คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยน 31.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)

ทั้งนี้ คาดว่ามีที่มาหลัก 3 ช่องทาง ได้แก่ เงินทุนที่ไหลเข้ามาเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ไทย, การนำเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐผ่านชายแดนเข้ามาฟอกเงิน และการนำเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี่) เข้ามาซื้อทองคำในประเทศไทย

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง ปัญหาค่าเงินบาทแข็งและเงินทุนไหลเข้าไทย โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเงินจากธุรกิจสีเทา โดยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ตนได้หารือกับนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อเตรียมทีมสำหรับการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เริ่ม “connect the dots”

หลังจากสมาคมธนาคารไทยได้ฉายภาพและชี้ประเด็นตรงกับที่รัฐบาลพบว่า มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้กระทรวงการคลัง

“เพราะต้องเชื่อมโยงให้เห็นว่าตกลงมาจากตรงไหนแน่ จะได้เกาให้ถูกที่คัน แก้ปัญหาให้ตรงจุด”  นายเอกนิติ กล่าว พร้อมเสริมว่า ความชัดเจนจะปรากฏหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น และจะดำเนินการทันทีตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ขณะนี้ทีมงานได้ประสานงานกันเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในที่ประชุมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นหารือและได้กราบเรียนต่อท่านนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การ “connect the dots” เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านหลายกลไกในระบบตลาด ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดการเงิน และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ครอบคลุมทั้งในระบบธนาคารและนอกระบบธนาคาร รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุน (capital flows) ทั้งหมดซึ่งอยู่ระหว่างการเร่งเชื่อมโยงข้อมูล

ส่วนจะสามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้เมื่อใดนั้น นายผยง ระบุว่า ขณะนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบอยู่

ก่อนหน้านี้ นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธุรกรรม Net Errors and Omissions: NEO หรือข้อผิดพลาดและตกหล่นสุทธิ ว่าจะมีส่วนกดดันทำให้เงินบาทแข็งค่าหรือไม่ โดยหากดูข้อมูลย้อนหลังช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2557–2566) พบว่า มูลค่าธุรกรรมดังกล่าวมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศรายได้ปานกลางในเอเชีย ซึ่งอยู่ที่ 1.5% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด และคาดว่าไทยจะทยอยปรับลดลงอีก หากมีการปรับข้อมูลจริงในเดือนกันยายน

“ส่วนหนึ่งที่เราเห็น Net Errors and Omissions สูง เพราะข้อมูล Flow ส่วนหนึ่งค่อนข้างช้า เช่น การส่งกำไรกลับต่างประเทศ เราไม่รู้ว่าเท่าไร เพราะต้องรอข้อมูลจริงของบริษัทที่ส่งกำไรกลับไป แต่จะค่อนข้างช้า บางบริษัทออกงบการเงินรายไตรมาส แต่บางบริษัทออกงบรายปี ทำให้ข้อมูลจริงช้า เราต้องประมาณการ แต่หลังรีวิวช่วงเดือนกันยายนนี้ ข้อมูลตัวเลขจะลดลง”  โฆษก ธปท. ระบุ

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณะบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แสดงความเห็นว่า หากทางการและ ธปท. ไม่สามารถอธิบายและเข้าใจข้อมูลคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือไม่ทราบชัดเจนถึงเม็ดเงินที่มาที่ไปของเงินไหลเข้า–ออก ย่อมเกิดความเสี่ยงต่อการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาเงินบาทผันผวนไม่ตรงจุด

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงินอาจลดลงได้ด้วยการบันทึกธุรกรรมดุลการชำระเงินในระบบออนไลน์รวมศูนย์ และลดขนาดของการเก็บข้อมูลสถิติ ทั้งนี้จากการสำรวจแบบ Survey Base การทำให้ธุรกรรมส่วนใหญ่อยู่ในระบบออนไลน์รวมศูนย์ จะทำให้เกิดการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น โปร่งใสขึ้น

“มีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งของฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือการทำธุรกิจสีเทา จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องพัฒนาระบบกฎหมาย ระบบการกำกับควบคุม และกลไก เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานของการฟอกเงิน หากไทยตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนในอนาคต จำเป็นต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ

Back to top button