
BCH-BDMS รับอานิสงส์ “ไข้หวัดใหญ่–RSV” ระบาด ดันรายได้ผู้ป่วยไตรมาส 3 พุ่ง
บล.กรุงศรี ชี้กลุ่มโรงพยาบาลรายได้ผู้ป่วยพุ่ง หลังกรมควบคุมโรค รายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่–RSV สะสมเฉียด 7 แสนราย ทำสถิติสูงสุดใหม่ปี 68 พร้อมมอง BDMS เด่นสุดจากเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดอัตราป่วยสูง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท ขณะเดียวกัน BCH ได้อัพไซด์ปัจจัยระยะยาวประกันสังคมแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงาน กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังประจำสัปดาห์ที่ 38 ระหว่างวันที่ 14-20 กันยายน 2568 ระบุ โรคไข้หวัดใหญ่ มีจำนวนผู้ป่วย 37,975 คน เพิ่มขึ้น 130% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และปรับตัวขึ้น 48% เมื่อเทียบระหว่างสัปดาห์ทำสถิติสูงสุดใหม่ของปี 2568 ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 591,483 คน เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส RSV มีจำนวน 3,924 คน เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบระหว่างสัปดาห์ และมีผู้ป่วยสะสม 18,091 คน สูงกว่าปี 2567 มีผู้ป่วยจำนวน 8,375 คน
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ระบุผ่านบทวิเคราะห์ ยังมองว่าสถานการณ์โรคระบาดที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่และโรคไวรัส RSV จะส่งผลบวกต่อแนวโน้มรายได้ของ กลุ่มโรงพยาบาล กลับมาเติบโตในเดือนกันยายน 2568 ประกอบกับแรงกดดันจากโรคระบาดปีก่อน 2567 ฐานสูงที่ลดลง ทำให้ในไตรมาส 4 ปี 2568 คาดว่ารายได้กลุ่มโรงพยาบาลเติบโตได้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ หากดูข้อมูลเทียบเคียงข้อมูลสัปดาห์ก่อน จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 10 จังหวัด (อัตราป่วยต่อประชากรแสนคน) ได้แก่ ภูเก็ต, ตราด, ชลบุรี, ระยอง, กรุงเทพฯ, จันทบุรี, สมุทรปราการ, นครปฐม, นนทบุรี และลำพูน ทำให้คาดว่า บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS มีโอกาสได้รับผลบวกมากสุด จากการใช้บริการเพิ่มขึ้นในเครือข่ายโรงพยาบาล ครอบคลุมจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูง โดย BDMS มีสัดส่วนรายได้ใน กรุงเทพฯ-ปริมณฑล สัดส่วน 55% รายได้กลุ่มโรงพยาบาลภาคตะวันออกสัดส่วน 20% และรายได้กลุ่มภาคใต้ 10%
ส่วนหากมองไปที่ ภาพรวมไตรมาส 3 ปี 2568 เบื้องต้นฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษา 4 บริษัท จะมีกำไรสุทธิรวม 6,859 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อน ตามทิศทางรายได้รักษาพยาบาลรวม ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ยังเพิ่มขึ้นได้ 6% จากไตรมาสก่อน ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคาดว่า บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH จะมีกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 2,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ 9% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้การเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดีกว่ากลุ่มฯ และเห็น Upside ของกำไรสุทธิ BDMS จากการฟื้นตัวของรายได้ ส่วน BCH และ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG คาดกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากไตรมาส 3 ปี 2567 ฐานสูง (รายได้ประกันสังคมรับรู้รายได้ภาระเสี่ยงฯ เพิ่มเติม
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์ มีมุมมอง Neutral สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจากคาดปี 2568 กำไรสุทธิรวมกลุ่มโรงพยาบาลจะปรับตัวดีขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเติบโตเล็กน้อย ส่วนปี 2568-2570 กาไรสุทธิรวมเติบโตเฉลี่ย 5% CAGR โดยในระยะกลาง-ยาว ยังเป็นปัจจัยบวกสนับสนุน 1.) สังคมผู้สูงอายุ 2.) การเพิ่มสิทธิรักษาโครงการรัฐ และ 3.) การขยายตลาดต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ นอกจากนี้ เรามองว่าใน
สำหรับปี 2569 โรงพยาบาลที่ให้บริการประกันสังคม มี Catalyst บวกจากเริ่มหักเงินสมทบสูตรใหม่ระยะที่ 1 (ปี 2569-71) ทำให้มีโอกาสเห็นการปรับขึ้นอัตราค่ารักษาประกันสังคม โดยรวมแล้วหุ้นเด่นเลือกฝ่ายนักวิเคราะห์เลือก BDMS แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 28 บาท และ BCH แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 17 บาท
ขณะเดียวกันในฝั่งบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเป็น “บวก” ต่อกลุ่มโรงพยาบาล เช่นกันเนื่องมาจากผลตอบรับจากการไปคูเวตเป็นไปในเชิงบวกต่อโรงพยาบาลไทย การชำระหนี้ของคูเวตแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือ และการรองรับการส่งต่อผู้ป่วยในอนาคต รวมทั้งลดความเสี่ยงในการตั้งสำรองหนี้สูญในปี 2568 แม้ว่าจะยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน แต่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการชำระเงิน และหลักเกณฑ์การส่งต่อผู้ป่วยบ่งชี้ถึงแนวโน้มการกลับมารักษาของผู้ป่วยชาวคูเวตในประเทศไทย ซึ่งโรงพยาบาลไทยมีข้อได้เปรียบในด้านการดูแลโรคซับซ้อน และมีค่าบริการต่ำกว่าการรักษาในประเทศตะวันตก
ด้านปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความล่าช้าการส่งต่อผู้ป่วย คือ ความล่าช้าของการปรับโครงสร้างภายใน และการเปลี่ยนแปลงนโยบายของคูเวต ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล โดยเลือก PR9 เป็นหุ้นเด่น แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 25.60 บาท ขณะที่ downside risk สำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจที่อ่อนแอ การเปลี่ยนแปลงด้านกฏระเบียบ และการแข่งขันที่รุนแรงกว่าคาด
ขณะที่ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้สอบถาม BCH, BDMS, บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 และบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH เพื่อรวบรวมความคิดเห็นหลังจากการเยือนคูเวตระหว่างวันที่ 16-18 กันยายน 2568 โดยมีสรุปประเด็นสำคัญ คือ ผู้เข้าร่วมประชุมตัวแทนจากโรงพยาบาลไทย 7 แห่ง (ไม่รวม BH) เข้าร่วมการประชุม ซึ่งประสานงานโดยกระทรวงการต่างประเทศไทยและสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการแพทย์กับคูเวต ซึ่งฝ่ายคูเวตประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลเอกชน 7-8 แห่ง
นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มความเข้มงวดในกระบวนการส่งต่อผู้ป่วยในอนาคต โดยการส่งต่อผู้ป่วยจะดำเนินการโดยตรงจากกระทรวงสาธารณสุขคูเวต แทนที่ระบบเดิมที่ผู้ป่วยต้องขออนุมัติจากสถานทูตคูเวตหลังจากเดินทางมาถึงประเทศไทย กระบวนการใหม่ที่เข้มงวดขึ้นจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาโรคซับซ้อนเท่านั้น ซึ่งกระทรวงจะเป็นผู้แนะนำการเลือกโรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยซึ่งน่าจะมีการพิจารณาความสามารถในการรักษาและค่าใช้จ่าย แม้รายละเอียดขั้นตอนการชำระเงินยังจำกัด แต่คูเวตยังคงชำระหนี้ต่อเนื่องให้กับโรงพยาบาลไทย
ส่วนพัฒนาการข้างหน้า ตัวแทนจากคูเวตมีแผนจะเข้าเยี่ยมชมโรงพยาบาลไทยในเดือนตุลาคม 2568 และจะมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ศูนย์การแพทย์ประจำประเทศไทย เพื่อรายงานตรงต่อกระทรวงสาธารณสุขคูเวต และดูแลการส่งต่อผู้ป่วย ส่วนหลักเกณฑ์และจำนวนโรงพยาบาลที่จะได้รับอนุมัติยังไม่ชัดเจน แต่ BCH และ PR9 คาดว่าการส่งต่อผู้ป่วยจะเริ่มขึ้นอีกครั้งภายในปลายปี 2568