
MTC รับผลบวกนโยบายรัฐ-ดอกเบี้ยขาลง
MTC โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 1. สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 35% 2. รถจักรยานยนต์ 30% 3. ที่ดิน 14%
คุณค่าบริษัท
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 1. สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 35% 2. รถจักรยานยนต์ 30% 3. ที่ดิน 14% 4. รถแทรกเตอร์+นาโนไฟแนนซ์+สินเชื่อบุคคล 21% โครงสร้างรายได้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 1. รายได้ดอกเบี้ย 97.5% 2. รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 1.84% 3. รายได้อื่น ๆ 0.66%
MTC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 1,647.01 ล้านบาท เติบโต 14.04% จากไตรมาส 2/2567 และเพิ่มขึ้น 4.82% จากไตรมาส 1/2568 ที่มีกำไรสุทธิ 1,571.22 ล้านบาท กำไรไตรมาส 2 สอดคล้องกับประมาณการของ บล.กสิกรไทยและตลาด กําไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2568 ได้แรงหนุนจาก 1. อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ปรับตัวดีขึ้น 0.23% จากไตรมาส 1/2568 จากปัจจัยฤดูกาล และต้นทุนเงินทุนที่ลดลง 0.04% จากไตรมาส 1/2568
และ 2. การเติบโตของสินเชื่อ 4% โดยส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อจํานําทะเบียน ขณะที่กําไรที่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาส 2/2567 ได้แรงหนุนจาก 1. การเติบโตของสินเชื่อ 13% จากไตรมาส 2/2568 จากจํานวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 5.7% จากไตรมาส 2/2567 และยอดปล่อยกู้ต่อสาขาที่เพิ่มขึ้น และ 2. ค่าใช้จ่ายสํารองหนี้สูญ (credit cost) รวมขาดทุนจากรถยึดคืนที่ลดลงเหลือ 2.5% ในไตรมาส 2/2568 เทียบกับ 3% ในไตรมาส 2/2567 จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น
NPL ratio อยู่ที่ 2.6% ลดลงเล็กน้อย 0.10% จากไตรมาส 1/2568 ขณะที่ credit cost รวมขาดทุนจากรถยึดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาที่ 2.5% จาก 2.4% จากการคํานวณของ บล.กสิกรไทย อัตราการก่อตัวของ NPL อยู่ที่ 1.8% เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในไตรมาส 1/2568 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนสินเชื่อ stage 2 ลดลงเล็กน้อยมาที่ 7.6% จาก 7.8% ในไตรมาส 1/2568 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินสํารองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 139% เทียบกับ 138% ในไตรมาส 1/2568
การเร่งลดดอกเบี้ยช่วยคลายความกังวลของกลุ่ม Non-bank เพราะจะทำให้ต้นทุนเงินทุนลดลง ขณะที่ความเสี่ยงด้าน NPL ก็จะลดลงด้วยจากการที่ credit cost ผ่านระดับสูงสุดไปแล้ว บล.เคจีไอ คาดว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะมีการพักหนี้ของ ธกส. รวมอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะส่งผลดีทางอ้อมต่อกลุ่ม non-bank เพราะจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกค้าที่กู้เงินจาก non-bank สำหรับในระยะต่อไป และมาตรการ “คนละครึ่ง” ยังจะช่วยสร้างตัวคูณทวีของเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย
เนื่องจากมีการลดดอกเบี้ยมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 ต้นทุนเงินทุนของ MTC จึงลดลงมาเล็กน้อยประมาณ 0.15% อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราดอกเบี้ยตามหลังดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการเร่งลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และในปี 2569 จะส่งผลดีต่อ MTC โดยจะทำให้ต้นทุนเงินทุนลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า
ข้อมูลจาก LSEG Consensus สำหรับ MTC ระบุว่า ประมาณการรายได้รวมปี 2568 ที่ 25,283.18 ล้านบาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 6,764.94 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 50.95 บาท จาก 16 โบรกเกอร์
บล.หยวนต้าปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิในปี 2568/2569 ของ MTC ขึ้นเล็กน้อย 1.1%/0.9% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนแนวโน้มการตั้งสำรองที่ผ่อนคลายลง และการขยายสินเชื่อที่คาดจะดีกว่าคาดการณ์เดิม ขณะที่ผลขาดทุนจากการขายรถยึดคาดว่าจะปรับลดลง เนื่องจากราคารถจักรยานยนต์มือสองยังอยู่ในเกณฑ์ดี และหนี้เสียเริ่มผ่อนคลายลง ส่วนทิศทางของ NIM คาดกลับมาปรับเพิ่มขึ้น รับผลบวกจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย หนุนให้คาดว่า MTC จะมีกำไรสุทธิในปี 2568 ที่ 6,589 ล้านบาท โต 12.3% จากปี 2567 และเติบโตต่อ 10.9% ในปี 2569
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น MTC ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 23 ก.ย. 2568 ที่ 40.50 บาท) เทรดที่ P/E 13.73 เท่า ต่ำกว่า P/E กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ ที่ 16.70 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น MTC อยู่ที่ 2.17 เท่า สูงกว่า P/BV กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ ที่ 1.12 เท่า