MEDEZE ผนึก สธ. ปั้น “ATMPs Sandbox” กลางกรุง! ดันไทยสู่ Medical Hub

MEDEZE จับมือ กระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการ ATMPs Sandbox ปักหมุด ศูนย์การแพทย์บางรัก นำร่องวิจัยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ชะลอวัย ตั้งเป้าขึ้นทะเบียนยาภายในปี 69 หวังลดพึ่งพาต่างชาติ พร้อมดันไทยสู่ศูนย์กลางการแพทย์แห่งภูมิภาค Medical Hub


นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยภายหลังการร่วมงานกับ ศูนย์การแพทย์บางรัก กรมควบคุมโรค โดยมี นายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง รองอธิบดีกรมควบคุมโรคให้เกียรติต้อนรับและแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือ พร้อมพาเยี่ยมชมการพัฒนา โครงการ Advanced Therapy Medicinal Products Sandbox (ATMPs Sandbox) ในครั้งนี้ ซึ่งระบุว่า นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีภายหลัง กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับ ผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs)

อีกทั้ง ทางกระทรวงฯ ได้จัดสรรพื้นที่ของอาคารศูนย์การแพทย์บางรัก เพื่อใช้พัฒนา วิจัยและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากเซลล์ของตนเอง เช่น เซลล์จากไขมันในร่างกาย เป็นต้น ขณะที่โครงการนำร่องของ MEDEZE ในครั้งนี้มีด้วยกัน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม และชะลอวัย ทั้งนี้ คาดการณ์สามารถเปิดคลินิกภายใต้โครงการดังกล่าวใน 3 เดือนนับจากนี้

ผมเชื่อว่านี่เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่เราจะมีคลินิกต้นแบบในอาคารศูนย์บำบัดฯ สำหรับการวิจัยด้านเซลล์บำบัดอย่างจริงจัง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว โดยมีการกำกับดูแลจากกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในเรื่องของมาตรฐาน กฎเกณฑ์ และผลการวิจัย เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยสูงสุดสำหรับประชาชน” นายแพทย์วีรพล กล่าว

ขณะที่ มาตรการและรายละเอียดต่างๆ อยู่ในระหว่างขั้นตอนของการจัดทำข้อตกลงเชิงลึก ซึ่งจะครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะสามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านระบบสาธารณสุข ผลประโยชน์ของประชาชนได้อย่างสูงสุด

ทั้งนี้ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการวิจัยเพื่อรักษาในระยะแรกจะเป็นประชาชนจากทั่วประเทศ โดยเมื่อโครงการวิจัยได้รับอนุมัติแล้ว เราจะมีการประกาศข่าวสารเพิ่มเติมถึงเกณฑ์ในการรับผู้เข้าร่วมโครงการอีกครั้งนึง

นายแพทย์วีรพล กล่าวต่อว่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยในกรณีที่มีข้อกำหนดใด ๆ ที่อาจยังไม่ครอบคลุมถึงความปลอดภัยของประชาชนอย่างเพียงพอ ทางโครงการก็ได้มีการเสริมมาตรการเพิ่มเติม เช่น การจัดทำประกันภัยให้กับผู้เข้าร่วมทุกคน เพื่อคุ้มครองในกรณีที่อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างการเข้าร่วมวิจัย

ส่วนกฎเกณฑ์ทั้งหมดจะถูกกำหนดโดย คณะกรรมการจริยธรรมทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นผู้พิจารณา โดยมุ่งเน้นประโยชน์เพื่อคนไทยทั้งประเทศ ส่วนการร่วมมือระหว่างเอกชนและภาครัฐครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) พร้อมเป็นกลไกใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับแผนงานในปี 2568 MEDEZE ยังมุ่งเน้นที่การพัฒนาและวิจัยการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) และเซลล์ภูมิคุ้มกันธรรมชาติ (NK Cell) สำหรับการรักษา โรคข้อเข่าเสื่อม การชะลอวัย รวมถึงโรคไตเสื่อม ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมและการอักเสบเรื้อรัง

ในระยะต่อไป มีแผนวิจัยการรักษาขยายเพิ่มเติมในหลายโรค อาทิ โรคสะเก็ดเงิน ตับแข็ง โรคพาร์กินสัน โรคข้อสะโพกเสื่อม โรคหัวใจโต หรือภาวะหัวใจทำงานผิดปกติ รวมถึง โรคแพ้ภูมิตนเอง

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2–3 ปีแรก MEDEZE มุ่งเน้นไปที่งานวิจัยที่ผ่านการพิสูจน์ในระดับนานาชาติแล้วว่ามีความปลอดภัยและได้ผลจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพื่อปูทางไปสู่การขึ้นทะเบียนเป็นยาได้

พร้อมกับตั้งเป้าว่าอย่างน้อยภายในกลางปี 2569 จะสามารถขึ้นทะเบียนยาได้สำเร็จสำหรับรักษา 2 โรค และในอนาคตตั้งเป้าขึ้นทะเบียนยาใหม่ได้ปีละ 2–3 โรคต่อเนื่อง ซึ่งหากสามารถทำได้ แม้เพียงโรคเดียว เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม ก็จะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าวัสดุ ไทเทเนียม ซึ่งนับเป็นส่วนนึงของการรักษาทางการแพทย์จากต่างประเทศได้มหาศาล

นายแพทย์เอนก รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ต้องการสื่อสารถึงประชาชน คือ ณ วันนี้ เรามีพื้นที่สำหรับการพัฒนาโครงการศูนย์ต้นแบบ (Sandbox) พร้อมเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาสำรวจพื้นที่และเตรียมความพร้อมพัฒนาสู่คลินิกการรักษาโดยใช้สเต็มเซลล์ในอนาคต

โดยอาคาร ศูนย์การแพทย์บางรัก กรมควบคุมโรค ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 (Sandbox) ของประเทศสำหรับการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ระดับสูง โดยอีก 4 แห่งที่ได้รับคัดเลือก ได้แก่ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โรงพยาบาลราชวิถี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโครงการความร่วมมือด้านเวชศาสตร์แม่นยำในระดับประเทศ

สำหรับการลงนามใน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) อย่างเป็นทางการ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินงานตามกระบวนการของทางราชการ โดยทีมผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ในส่วนของการอนุมัติในเชิงหลักการนั้น ได้รับความเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดเตรียมพื้นที่ ห้องปฏิบัติการ และแนวทางการดำเนินงานภาคสนาม

ส่วนโครงการพื้นที่นำร่องอย่าง จังหวัดภูเก็ต สามารถเริ่มดำเนินงานวิจัยได้ทันที ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่นำมาใช้ในงานวิจัย ต้องผ่านมาตรฐาน GMP และได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตามหลักเกณฑ์ของโครงการ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด

เรามั่นใจว่า หากโครงการนี้สามารถดำเนินไปตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ก็จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ประเทศมีรายได้จากเศรษฐกิจสุขภาพ ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจชาติในอนาคต” นายแพทย์เอนก กล่าว

นายแพทย์เอนก กล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีหากนำการรักษาด้วยสเต็มเซลล์มาใช้จริงประชาชนอาจไม่สามารถเข้าถึงได้จากค่ารักษาที่แพง ในมุมมองของผมนั้น เมื่อความรู้ทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ระบบต่าง ๆ ก็จะถูกออกแบบให้เข้าถึงง่ายขึ้น เช่นเดียวกับเทคโนโลยี AI ที่เริ่มจากการลงทุนมหาศาลเชื่อว่า เมื่อเทคโนโลยีดีขึ้น กลไกการทำงานชัดเจนขึ้น ราคาการรักษาด้วยเซลล์บำบัดก็จะถูกลง ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้นในระยะยาว ซึ่งหากมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นระบบ และขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เชื่อมั่นว่าในระยะยาว ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะสามารถลดลงได้อย่างแน่นอน

Back to top button