BCP กับ 4 ยุทธศาสตร์ & 5 แกนธุรกิจ

หลังเทกโอเวอร์ ESSO สำเร็จ และกลายมาเป็น BSRC ในปัจจุบัน พร้อมกับแผนเพิกถอนหุ้น BSRC ออกจาก ตลท. ภายในปีนี้


หลังเทกโอเวอร์บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO สำเร็จ และกลายมาเป็นบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC ในปัจจุบัน พร้อมกับแผนเพิกถอนหุ้น BSRC ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายในปีนี้

ไม่เพียงเท่านั้น..การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยกลุ่มชาร์เตอร์ด (Chartered Group) ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 20% ในนามบริษัท อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอร์จี จำกัด จนกลายเป็นเหตุให้ BCP เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรและโครงสร้างธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ..!!

ล่าสุด BCP ประกาศปรับกลยุทธ์ธุรกิจ Accelerating Bangchak 100x : Pivoting for Energy Security and Sustainability ด้วยเป้าหมายกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตก้าวกระโดดเพิ่ม ขึ้น 100% สู่ระดับ 80,000 ล้านบาท ภายในปี 2571

โดยกลยุทธ์ Bangchak 100x เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง มุ่งเน้นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทน (Return-Focused Investment) ควบคู่กับการขยายการดำเนินงานระดับสากล ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่ากับธุรกิจหลักและการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Top Tier TSR) จากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา อยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่ง และพร้อมผลักดันให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับ 4 แกนยุทธศาสตร์หลัก คือ 1)การตั้งเป้าหมายใหม่ มุ่งผลักดันให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 100% ภายในปี 2571 2)การขับเคลื่อนสู่ความมั่นคงทางพลังงานและความยั่งยืนมุ่งเน้นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทน (Return-Focused Investment) ธุรกิจต้นน้ำระยะกลาง ตลอดจนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานใหม่

3)การยกระดับศักยภาพธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถการทำกำไร (Margin Enhancement) ผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจ ตอบโจทย์การลงทุน 4)การสร้างคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) 3 ปี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้ถือหุ้นเสริมความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโต

ขณะเดียวกันมีการจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่เป็น 5 กลุ่มหลัก ด้วยงบลงทุนช่วงปี 2569-2571 วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท

-กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการตลาดและพลังงานชีวภาพ (Refinery & Marketing and Biofuels) ขยายกำลังการกลั่นจากทั้ง 2 โรงกลั่นรวมจาก 265,000 บาร์เรลต่อวันปีนี้ เป็น 285,000 บาร์เรลต่อวันปี 2571 และมากกว่า 290,000 บาร์เรลต่อวันช่วงปี 2573 ควบคู่กับการลงทุนใน SAF และ HVO (Hydrotreated Vegetable Oil) กำลังการผลิต 7,000 บาร์เรลต่อวันภายในปี 2570 

ด้านพลังงานชีวภาพ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตเอทานอลเป็น 292 ล้านลิตรต่อปีตั้งแต่ปี 2569 และเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเครื่องโรงงานไบโอดีเซล สู่กำลังการผลิต 330 ล้านลิตรต่อปี ส่วนด้านการตลาดมุ่งขยายสถานีบริการเป็น 2,300 แห่งปี 2568 พร้อมตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดน้ำมันจาก 29% ในปี 2568 เป็นมากกว่า 33% ในปี 2573 

-กลุ่มธุรกิจการค้าน้ำมัน (Trading) กลุ่มธุรกิจหลักใหม่ (new flagship) ถือเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ของ BCP ที่ยกระดับจากบทบาทเดิมในการสนับสนุนโรงกลั่น สู่การเป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนมุ่งพัฒนาการซื้อขายพลังงานแบบมีสินทรัพย์รองรับ (asset-backed trading)

-กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) ตั้งเป้าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจแหล่งปิโตรเลียมระยะกลางชั้นนำ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้ประสบการณ์ระดับสากลจากนอร์เวย์ บริหารแหล่งผลิตให้มีประสิทธิภาพ เสริมความคล่องตัวและกระแสเงินสดมั่นคง พร้อมพิจารณาการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตระยะยาว

-กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน (Power and Infrastructure) ต่อยอดพลังงานหมุนเวียนสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยุทธศาสตร์ (Critical Infrastructure) ทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและธุรกิจรีไซเคิลแบต เตอรี่ ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2571 ผ่านการบริหารพอร์ตเพื่อเพิ่มผลตอบแทนและหมุนเวียนทุน (Return & Capital Recycling)

-กลุ่มธุรกิจใหม่และโฮลดิ้งส์ (New Businesses and Holdings) มุ่งสร้างการเติบโตผ่านการขยายศักยภาพธุรกิจหลัก ทั้งด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจการกลั่นและการตลาดควบคู่กับการลงทุนใหม่มูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ และการพัฒนาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ เช่น  Bio-LNG, Nuclear Fusion, กรีนแอมโมเนีย และเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ตลอดจนเทคโนโลยีชีวภาพและระบบแบตเตอรี่ เป็นต้น

การก้าวเดินของ BCP นับจากนี้น่าจับตาอย่างยิ่ง เหตุต้องเผชิญกับเทรนด์ธุรกิจพลังงานที่ไม่เหมือนเดิม ที่สำคัญต้องรับมือกับการแข่งขันบนเวทีโลกอันท้าทายอย่างยิ่ง..!!

Back to top button