88TH ลงเทรดพรุ่งนี้! โชว์จุดเด่นแบรนด์ “ไลโอ” ชูรายได้ย้อนหลัง 3 ปีโตเฉลี่ย 30%

88TH เตรียมเปิดเทรดในตลาด mai วันที่ 3 ตุลาคมนี้ หลังระดมทุน IPO มูลค่า 324 ล้านบาท หวังต่อยอดธุรกิจกลุ่ม Hair Care, Skincare และ Cosmetics พร้อมโชว์รายได้ย้อนหลัง 3 ปีเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี ตั้งเป้าเติบโตระดับเดียวกันต่อเนื่อง-ปลอดหนี้ ชูโมเดลเติบโตยั่งยืน


บริษัท 88 (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ 88TH เตรียมก้าวสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีกำหนดเปิดซื้อขายวันแรกในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทในการขยายโอกาสทางธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ 88TH เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Personal Care และเครื่องสำอาง ครอบคลุม 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะภายใต้แบรนด์ “LYO” กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวภายใต้แบรนด์ “Hone” และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ “ver.88” โดยมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลาย ทั้งออนไลน์ ตัวแทนจำหน่าย และช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ชั้นนำของประเทศ

สำหรับในการเข้าระดมทุน บริษัทได้เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 59.50 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 5.45 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวมมูลค่าระดมทุนทั้งสิ้น 324.27 ล้านบาท

โดยมีแผนใช้เงินที่ได้รับจากการระดมทุนประมาณ 213.79 ล้านบาท (ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ (Hair Care) ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Cosmetics) ภายใต้แบรนด์ “LYO” แบรนด์ “Hone” และแบรนด์ “ver.88” เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค

นางสาวนพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท 88TH เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มต้นจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ ver.88 โดยมีผลิตภัณฑ์แป้งเนื้อดินน้ำมัน ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องคุณภาพและความแปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์ ก่อนที่จะปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจดูแลเส้นผมในช่วงปี 2563 อันเป็นผลจากวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ยอดขายเครื่องสำอางลดลง

จากความสำเร็จของแบรนด์ LYO ซึ่งมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ บริษัทได้รับความไว้วางใจจากบุคคลในวงการบันเทิง โดยเฉพาะนายภูดิท กำเนิดพลอย หรือ “หนุ่ม กรรชัย” ที่ได้เข้ามารวมเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจกับแบรนด์ LYO มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปี และในโอกาสเสนอขาย IPO ครั้งนี้ คุณหนุ่ม กรรชัยยังได้ร่วมจองซื้อหุ้นของบริษัทในฐานะนักลงทุนอีกด้วย โดยยืนยันว่าการลงทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไรหรือขายหุ้นออกในระยะสั้น

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายศักยภาพธุรกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิตเครื่องสำอาง Dok Skin ซึ่งช่วยเสริมความสามารถในการผลิตแบบครบวงจร พร้อมทั้งเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในกลุ่ม Skincare ภายใต้ชื่อ “Hone” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทและคุณหนุ่ม กรรชัย โดยมีเป้าหมายในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตธุรกิจ ปัจจุบัน บริษัทมีแบรนด์ในมือ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ver.88, LYO และ Hone

นางณัฐฐินี ชวนะนิกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 88TH กล่าวว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทเกิดขึ้นในปี 2563 ที่บริษัทเริ่มขยายสู่ธุรกิจ Hair Care อย่างจริงจัง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ลดปัญหาผมร่วง ณ ปัจจุบัน ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก 2568 มีสัดส่วนรายได้ 31.60%, ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาว คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 33.85% และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากสารสกัดสมุนไพร คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 25.04% โดยรวมคิดเป็นรายได้กว่า 90% ของพอร์ตธุรกิจทั้งหมด ขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากกลุ่มเครื่องสำอางและสกินแคร์ราว 10%

ด้านกลยุทธ์การจำหน่าย บริษัทได้พัฒนาโครงสร้างการขายให้เป็นระบบ Omni-Channel อย่างแท้จริง ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน  ณ ปัจจุบัน ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก 2568 สัดส่วนรายได้จากตัวแทนจำหน่ายอยู่ที่ราว 43.66% จาก Modern Trade และร้านสะดวกซื้อ 33.49% ขณะที่สัดส่วนจากช่องทางออนไลน์อยู่ที่ 21.93%  และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มากกว่าการเพิ่มจำนวน SKU โดยยึดแนวทาง Focus Product Development เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้แต่ละกลุ่มสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง

ส่วนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 268.77 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 13.20 ล้านบาท ต่อมาในปี 2566 มีรายได้จากการขายและบริการ 364.05 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 25.91 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 รายได้จากการขายและบริการ 477.82 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 55.77 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกปี 2568 รายได้จากการขายและบริการ 306.80 ล้านบาท, กำไรสุทธิ 50.45 ล้านบาท

ดังนั้น หากย้อนกลับไปในปี 2565 บริษัทมีรายได้ประมาณ 270 ล้านบาท ต่อมาในปี 2567 บริษัทสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 478 ล้านบาท แสดงถึงอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 30% ต่อปี (หากเทียบกับปีก่อนหน้า) อย่างต่อเนื่อง

ตัวเลขผลการดำเนินงานที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของบริษัทว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถสร้างการเติบโตแบบ S-Curve ได้จริง และที่สำคัญเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยที่แต่ละผลิตภัณฑ์สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ภาพรวมจึงทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30% ต่อปี

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) โดยในปี 2565 บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ราว 4.86%  แม้จะยังไม่สูงนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2567 ตัวเลขอัตรากำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 11.64% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดและแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

โดยไม่เพียงแต่รายได้ของบริษัทที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ความสามารถในการทำกำไรก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงสะท้อนถึงความมั่นคงและความยั่งยืนของการเติบโตในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

รวมถึงปัจจุบันค่า P/E ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10.28 เท่า ทีทุนจดทะเบียน 170 ล้านหุ้น  ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วง 12–15 เท่า

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าตัวเลขที่สะท้อนออกมาคือผลลัพธ์ของสิ่งที่บริษัทได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว แม้รายได้จะเติบโตในระดับเฉลี่ยราว 30% ต่อปี แต่กำไรสุทธิกลับเติบโตมากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้คือการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง Operating Profit Margin ให้แข็งแกร่งขึ้น

บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่าย SG&A จากระดับประมาณ 50% ของรายได้ในปี 2565 ลงมาเหลือเพียง 36% ในปีปัจจุบัน ซึ่งการลดลงดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการขยายตัวของกำไรสุทธิที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพของบริษัท

พร้อมกับปัจจุบัน บริษัทไม่มีภาระหนี้สิน และไม่มีการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ทำให้มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและมีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่แข็งแกร่ง

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้วางจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกสมัยใหม่ที่หลากหลาย ทั้ง 7-Eleven, Lotus’s และร้านค้าปลีกชั้นนำ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เช่น แชมพูปิดผมขาว ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภค และยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผมในอนาคตอันใกล้

ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้กลยุทธ์ที่ชัดเจน เน้นการสร้างสมดุลในพอร์ตธุรกิจ และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจในระยะยาว

Back to top button