“เอกนิติ”ชู “สินเชื่อดิจิทัล–พี่ช่วยน้อง” ปักธงอุ้ม SME ดึงบิ๊กธุรกิจ–แบงก์รัฐ–ตลท.ร่วมวง

รองนายกฯ–รมว.คลัง เร่งรีเซ็ตระบบเศรษฐกิจ ดึงบิ๊กธุรกิจ–แบงก์รัฐ–ตลท. ผนึกมาตรการ “Financing ดิจิทัล–พี่ช่วยน้อง” เติมแรงขับเศรษฐกิจฐานราก หนุน SMEs สร้างเงินหมุนเวียนทั่วประเทศ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “THE FUTURE FINANCE” : โฉมใหม่การเงินการคลัง ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 เมื่อโลกเปลี่ยน..ประเทศไทยไปทางไหน?” เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568

โดยสรุป นายเอกนิติ กล่าวยืนยันว่า ภายใน 4 เดือนรัฐบาลนี้ กระทรวงการคลังจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องทุกสัปดาห์ เริ่มต้นด้วยโครงการ คนละครึ่งพลัส ซึ่งจะเป็นแพ็กเกจแรกที่มุ่งกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนโดยตรง

รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวต่อว่า มาตรการถัดไปจะมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง และเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยจะสนับสนุนให้มีการจัดสัมมนาในเมืองหลักและเมืองรอง พร้อมผลักดันสินเชื่อให้โรงแรมในพื้นที่สามารถตกแต่งและปรับปรุงที่พักให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวมากขึ้น

สัปดาห์หน้าจะเสนอมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะให้สิทธิสำหรับผู้ที่จะท่องเที่ยวเมืองรองเป็นหลัก นายเอกนิติ ระบุ

รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยอาจจะเลยจุดที่เรียกว่า “หัวเลี้ยวหัวต่อ” มาเล็กน้อย หากไม่เร่งปรับตัว เศรษฐกิจจะยิ่งชะลอลง ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการเชิงรุกในทุกมิติ

สำหรับการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้เสีย (NPL) นายเอกนิติ กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะนำเงินบางส่วนจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่ส่งเงินให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และยังเหลืออยู่ราว 26,000 ล้านบาท มาใส่ในบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้ออกจากระบบ ช่วยลดภาระหนี้ ยืดเวลาชำระ และส่งเสริมให้ประชาชนมีวินัยทางการเงิน พร้อมจะมีสินเชื่อขนาดเล็กเสริมสภาพคล่องให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางควบคู่กันไป

ทั้งนี้ หลังจากออกมาตรการภาคประชาชนและการแก้หนี้แล้ว นายเอกนิติ กล่าวถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ว่า รัฐบาลจะเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ SMEs ทั่วไป และ SMEs ใน Supply Chain

โดยเฉพาะกลุ่ม Supply Chain นั้น รัฐบาลจะให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น และจะมีสินเชื่อ Supply Chain Financing” สำหรับผู้ที่มีเงินค้างรับจากภาครัฐแต่ยังไม่ได้เบิกจ่ายและขาดสภาพคล่อง โดยจะให้ธนาคารเข้ามาทำ Financing ผ่านระบบดิจิทัล เพื่อเร่งหมุนเงินในระบบ

นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังจะหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ เพื่อดำเนินโครงการ “พี่ช่วยน้อง” โดยจะมีมาตรการภาษีจูงใจให้บริษัทขนาดใหญ่ช่วยสนับสนุน SMEs และให้กรมสรรพากรคืนภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ประกอบการที่มีภาษีค้างชำระได้เร็วยิ่งขึ้น พร้อมตรวจสอบภายหลัง (Post Audit) เช่นเดียวกับช่วงโควิด ซึ่งเคยคืนภาษีได้กว่า 60% โดยไม่เกิดผลกระทบทางการคลัง

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เดินหน้าโครงการ “สลาก กอช.” หรือ “หวยเกษียณ” เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวของประชาชน ควบคู่ไปกับการคืนเงินบางส่วนให้ผู้ซื้อสลากดิจิทัล L6 ที่ไม่ถูกรางวัล ผ่านบัญชีออมทรัพย์รูปแบบใหม่ ซึ่งบริหารจัดการในลักษณะบัญชีการลงทุน ผู้ถือบัญชีสามารถถอนเงินได้เมื่ออายุครบ 55 ปี และหากอายุเกิน 55 ปี, ต้องถือครองอีก 5 ปี และสามารถใช้เป็นหลักประกันกู้ยืมเงินจากธนาคารได้ โดยโครงการนี้จะไม่ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง แต่จะสนับสนุนการออมผ่านกองทุนรวม เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนในระยะยาว

ในช่วงท้าย นายเอกนิติ กล่าวย้ำว่า มั่นใจว่าใน 4 เดือนนี้ ทีมเศรษฐกิจภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี จะมีมาตรการกระตุ้นเพื่อดันเศรษฐกิจไทยไม่ให้ติดหล่ม และหวังผลระยะยาวให้รู้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพและพร้อมจะก้าวต่อไป

Back to top button