บล.ดาโอ ชี้ KLINIQ กำไรปี 68-69 ออลไทม์ไฮ-ขยายสาขาเพิ่ม แนะนำ “ซื้อ” อัพเป้า 34 บาท

บล.ดาโอ มอง KLINIQ ทำกำไรปี 68-69 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนรายได้และสาขาที่ขยายตัวต่อเนื่อง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายเป็น 34 บาท จากเดิม 33 บาท มอง Valuation ยังน่าสนใจ สะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง


บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์ระบุว่า บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ คาดมีกำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 ที่ 97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เดิม

โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เพิ่มขึ้น 8.1% การขยายสาขาเป็น 79 แห่ง จาก 77 แห่งในไตรมาสก่อน และ 69 แห่งในช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงยอดขายเงินสด (cash sales) ที่เติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะแบรนด์ LAB.X และ L’Clinic ที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากฐานลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คลินิกขนาดเล็กในตลาดทยอยปิดบริการ ส่งผลให้ลูกค้าหันมาใช้บริการจากผู้ให้บริการที่มีแบรนด์และเครือข่ายขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A to sales) ลดลงจากปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน แม้จะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายด้อยค่าทรัพย์สิน (write-off) ประมาณ 4 ล้านบาท จากการปิดสาขา The Klinique ที่โครงการวัน แบงค็อก และ LAB.X ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 3

นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาส 4/2568 จะเป็นจุดสูงสุดของปี จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมทำความสวยความงามก่อนเทศกาลปีใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวต่อเนื่อง ด้านประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 ถูกปรับเพิ่มขึ้น 3% จากรายได้ที่สูงกว่าคาด โดยคาดกำไรปี 2568 อยู่ที่ 377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน หนุนด้วยรายได้รวมเติบโต 17% และการขยายสาขาเพิ่มสุทธิ 10 สาขา รวมเป็น 82 สาขาภายในสิ้นปี ขณะที่ปี 2569 คาดกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน หนุนด้วยรายได้ที่ขยายตัวอีก 14% จากการเปิดสาขาใหม่ 10 แห่งและ SSSG ที่เติบโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บล.ดาโอ คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 34.00 บาท จากเดิม 33.00 บาท โดยอิงค่า PER ปี 2569 ที่ 17 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PER ปี 2569 ราว 12.7 เท่า มองว่า Valuation ยังน่าสนใจและยังไม่สะท้อนศักยภาพการเติบโตของกำไรปี 2568-2569 ที่คาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่

รวมไปถึงปัจจัยบวกระยะยาวมาจาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.) อุตสาหกรรมความงามที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 2.) การขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมพอร์ตแบรนด์ในเครือ 5 แบรนด์ ได้แก่ The Kinique, LAB.X, L’Clinic, The Kinique Surgery และ Kinig Wellness Spa ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบทุกกลุ่ม และ 3.) การบริหารต้นทุนและกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

Back to top button