ส่องโมเมนตัมหุ้นได้ประโยชน์ “คนละครึ่งพลัส” มาแล้ว!

“คนละครึ่งพลัส” และ “การเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) มีวงเงินราว 66,000 ล้านบาท


เส้นทางนักลงทุน

ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ร้านค้าสามารถสมัครเข้าร่วม “คนละครึ่งพลัส” ได้แล้ว ขณะที่ตั้งแต่วันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 รัฐบาลจะเปิดให้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์รับสิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ลงทะเบียนครั้งแรกผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” และเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568

“คนละครึ่งพลัส” และ “การเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Big Win) มีวงเงินราว 66,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการให้เงินประชาชนที่อยู่ในฐานระบบภาษี 9 ล้านคน นอกระบบภาษี 11 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน เพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพและกระตุ้นการใช้จ่าย

มาตรการนี้จะส่งผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากมีเงื่อนไขให้ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งการซื้ออาหาร หรือ เครื่องดื่ม ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร หรือ ฟู้ดเดลิเวอรี่ แพลตฟอร์ม ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการผ่านแอปฯ เป๋าตัง

  • คนละครึ่งหนุนเศรษฐกิจ 0.3%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ามาตรการนี้จะหนุนการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.3% ผลของมาตรการจะกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ภาพรวมทั้งปี 2568 โต 3.1% ขยับขึ้นจากเดิมที่โต 2.8% โดยประเมินจากการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคบนฐานธุรกิจค้าปลีกจะเพิ่มราว 0.3 บาท หากผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท (Marginal propensity to consume: MPC) และภายใต้สมมติฐานการใช้จ่ายของผู้บริโภคเกิดขึ้นภายในในช่วงดังกล่าว มีกรอบวงเงินอยู่ที่ราว 66,000 ล้านบาท

เฉพาะผลของมาตรการอาจทำให้ยอดขายค้าปลีกเพิ่มขึ้นจำกัด เพราะเป็นการนำเงินที่ได้จากภาครัฐมาใช้จ่ายแทนเงินในส่วนของตัวเอง แต่ธรรมชาติยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายมักเร่งขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล ผู้บริโภควางแผนใช้จ่ายช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลคริสต์มาส – ปีใหม่อยู่แล้ว แม้ไม่มีมาตรการฯ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายกว่า 80% ของยอดขายค้าปลีก

ผลของมาตรการอาจทำให้ผู้บริโภคมีการทยอยซื้อสินค้าดังกล่าวแทนเงินของตัวเอง ขณะที่ภาระและค่าครองชีพยังสูง ดังนั้น แรงหนุนส่วนเพิ่มจากมาตรการคงไม่มากเท่าที่คาดหวัง

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจช่วยหนุนบรรยากาศการใช้จ่ายของผู้บริโภคระยะสั้นหรือเฉพาะหน้า แต่ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ ธุรกิจค้าปลีกยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขาย กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว

สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (RSI) เดือนกันยายนยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ของปีนี้ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า (BSI) แม้ว่าจะขยับขึ้นมาเกินที่ระดับ 50 เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าปีก่อน

บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังมีอยู่ สอดรับไปกับยอดขายค้าปลีกสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ในไตรมาส 3 ปี 2568 ของผู้ประกอบการบางรายที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย วัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน รวมถึงของใช้จำเป็น คาดว่ายังคงมีแนวโน้มหดตัวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2% ต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ปี 2568 สะท้อนถึงผลประกอบการที่ยังถูกกดดันจากกำลังซื้อของผู้ บริโภคที่ยังอ่อนแรง และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

ทั้งนี้การแข่งขันทางธุรกิจยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งจากการแข่งขันกันเองในประเทศที่มีจำนวนผู้ประกอบการกว่า 1.2 ล้านราย เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1% หรือเพิ่มขึ้น 13,000 รายต่อปี อีกทั้งยังต้องแข่งกับสินค้านำเข้าโดยเฉพาะจากจีน ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้อาจเห็นการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนมากขึ้น

สะท้อนจากในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ไทยมีมูลค่านำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีน 3.6 แสนล้านบาท ขยายตัว 9% หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด

  • กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์

แน่นอนว่ากลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวหนีไม่พ้นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (food & beverage), กลุ่มบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และฟู้ดเดลิเวอรี่

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) เฟ้นหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์ ประกอบด้วย CPAXT (เป้า 25 บาท)และ BJC เนื่องจากร้านที่มีการขายสินค้าและการตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) เป็นจุดหมายหลักในการใช้คนละครึ่งพลัส และ TNP ซึ่งเป็นร้านค้าท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการในครั้งก่อน โดยมีสาขา 51 สาขาในภาคเหนือ

ส่วนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ คัด CBG (เป้า 79 บาท) เพราะมีสัดส่วนรายได้จากร้านค้าที่เป็นเจ้าของแบรนด์ (domestic branded own) 32% ของรายได้รวม นอกจากนี้แนะนำ OSP (เป้า 21บาท) จากมีสัดส่วนรายได้ domestic beverage 53% ของรายได้รวม และ SAPPE (เป้า 36.50 บาท) สัดส่วนรายได้ domestic ที่ 31% ของรายได้รวม รวมถึง ICHI และ SNNP (เป้า 12.50 บาท) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ domestic 90% และ 81% ของรายได้รวม ตามลำดับ

ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เลือก EPG (เป้า 4.20 บาท) เพราะได้ประโยชน์จากการบริโภคเพิ่มขึ้น ขณะที่ฟู้ดเดลิเวอรี่ เลือก KTB (เป้า 27 บาท) ได้ประโยชน์จากการใช้แอปฯ “เป๋าตัง”

แม้ “คนละครึ่งพลัส” และ “การเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จะเป็นพียง Quick Big Win กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่น่าจะสร้างโมเมนตัมและกระตุ้นบรรยากาศให้ชื่นมื่นได้ระดับหนึ่ง

Back to top button