
iPhone 17 ยอดขายแรง! “COM7–SYNEX–ADVICE” รับอานิสงส์ เตรียมโชว์กำไรโค้งสุดท้ายเลิศ
ยอดขาย iPhone 17 ในไทยแรงเกินคาด หนุนหุ้นกลุ่มตัวแทนจำหน่ายไอทีพุ่งรับอานิสงส์ โฟกัส “COM7–SYNEX–ADVICE” คาดกำไรไตรมาส 4/2568 โดดเด่น รับไฮซีซันปลายปี ด้านนักวิเคราะห์มองแนวโน้มโตต่อเนื่องจากดีมานด์สินค้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์เสริมที่ทยอยฟื้นตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท International Data Corporation หรือ IDC เปิดเผยรายงานตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกประจำไตรมาส 3/2568 พบว่า iPhone 17 ของบริษัท Apple Inc. มียอดจำหน่ายทะลุเกินคาด ส่งผลให้ Apple จำหน่ายสมาร์ตโฟนรวมไปแล้วกว่า 58.6 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และครองส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกที่ 18.2% ซึ่งถือเป็นระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หนุนยอดขายจากการเปิดตัวในเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น คือการเปิด พรีออร์เดอร์ iPhone 17 ที่แรงกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะในตลาด สหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งเป็นสองตลาดหลักของ Apple ที่สร้างแรงขับเคลื่อนให้ยอดขายเติบโตโดดเด่นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น
นอกจากนี้ IDC ยังระบุว่า นวัตกรรมของ iPhone 17 ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงโปรแกรม Trade-in ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียมได้ง่ายขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ตลาดสมาร์ตโฟนกลุ่ม High-end ขยายตัว แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านภาษีทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม IDC เตือนว่า หากผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่เผชิญกับภาระภาษีหรือข้อจำกัดด้านการค้าระหว่างประเทศที่เข้มข้นขึ้น อาจกระทบต่อยอดขายในกลุ่มพรีเมียมในระยะต่อไป
ภาพรวมตลาดสมาร์ตโฟนทั่วโลกในไตรมาสดังกล่าวเติบโตขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน สู่ระดับ 322.7 ล้านเครื่อง สะท้อนว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการอัปเกรดอุปกรณ์ แม้ภาวะเศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงท้าทาย
เช่นเดียวกับในหลายประเทศทั่วโลก การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone 17 ในประเทศไทยนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อโดยรวมอยู่ในระดับคึกคักอย่างต่อเนื่อง จนทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่า กลุ่มบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่าย หรือผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ Apple จะมีแนวโน้มในการสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/2568 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการจับจ่ายใช้สอย คาดว่ารายได้จากการจำหน่าย iPhone รุ่นใหม่จะขยายตัวได้ดีจากปัจจัยดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่ง อาทิบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE , บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART, บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI, บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 และ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์หลายสำนักได้ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของบริษัทกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ของ Apple ในระดับสูง เช่น SYNEX, COM7 และ ADVICE ว่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากกระแสตอบรับที่แข็งแกร่งของ iPhone 17 ซึ่งอาจส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSS ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานของ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปี 2568 โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ยราว 10% และสามารถทำกำไรสุทธิแตะ 651 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามการขยายตัวของรายได้รวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
แรงหนุนหลักมาจากสินค้า Apple (เพิ่มขึ้น 17.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน) และสมาร์ตโฟน (เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน) รวมถึงกลุ่ม Gaming ที่ได้อานิสงส์จากการเปิดตัวเครื่อง Nintendo Switch 2 แม้ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะอ่อนลงเล็กน้อยจาก 4.0% เหลือ 3.8% แต่บริษัทสามารถรักษา Core Margin ให้เพิ่มขึ้นเป็น 1.4% ในปี 2568
ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินว่า หุ้น SYNEX ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท โดยอ้างอิงจากปี 2568 P/E ที่ 17% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าไอทีและแบรนด์เทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศ นักวิเคราะห์มองว่า Valuation ไม่แพง และ Dividend yield ที่น่าสนใจ 4.4-4.8% ต่อปี สะท้อนศักยภาพการเติบโตที่มั่นคงและความน่าดึงดูดของหุ้นในช่วงที่ตลาด IT ฟื้นตัว
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MST เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุด โดยประเมินว่า บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 มีกำไรหลักในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ระดับ 821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ลดลง 18% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 19,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 7% จากไตรมาสก่อนหน้า
การเติบโตของกำไรหลักที่เติบโตเร็วกว่ารายได้ของปีก่อน มาจากอัตรากำไรขั้นต้น gross margin ที่เพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจมาร์จินสูง (เช่น UFund และประกัน iCare) และสัดส่วนรายได้จากสมาร์ตโฟนราคาต่ำกว่า 15,000 บาทที่ลดลง โดยรายได้ที่เติบโต 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะมาจากการ “ปรับพอร์ตสาขา” ซึ่งร้านไหม่ทำยอดขายได้ดีกว่าร้านที่ปิดไป
อย่างไรก็ตาม บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น COM7 โดยมีปัจจัยหนุน คือ กำไรหลักปี 2568 เติบโต 25% และกำไรปี 2569 เติบโต 10% ตามลำดับ จากการเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากวัฏจักรการเปลี่ยนเครื่องใหม่จากเทคโนโลยี AI และกระแสความนิยมของ iPhone 17 และค่า P/E ปี 2569 ที่ 14 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีก 9% ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังคงราคาเป้าหมายอยู่ที่ 32 บาท อิง P/E ปี 2569 ที่ 17 เท่า ปัจจัยรุกที่จะหนุนราคาหุ้นได้แก่ กำไรไตรมาส 4/2568 ที่คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ และการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของตลาด (โดยประมาณการกำไรหลักปี 2568-2570 สูงกว่าค่าเฉลี่ย Bloomberg Consensus 6%)
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยบทวิเคราะห์แนวโน้มผลประกอบการของ บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE โดยประเมินว่า กำไรปกติในไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ระดับ 65 ล้านบาท ลดลง 14% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การเติบโตของกำไรเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นผลมาจาก ยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สะท้อนต้นทุนการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่ม โทรศัพท์มือถือ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเร่งรุกตลาดและสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภค
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังคงประมาณการ กำไรปกติของปี 2568 ไว้ที่ 278 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวของปีก่อนปีก่อนหน้า และในปี 2569 คาดกำไรจะขยับขึ้นเป็น 310 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องอีก 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน
บล.หยวนต้า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้น ADVICE ปรับใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2569 ที่ 7.20 บาทต่อหุ้น อิง PER 14.5 เท่า และยังคงแนะนำซื้อราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER26 ที่ 10.6 เท่า ไม่แพง ระยะสั้นจบไตรมาส 3/2568 โตไม่เด่นอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้าทำให้หุ้นขาดปัจจัยหนุนช่วงสั้น แต่แนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะกลับมาเติบโตเด่นอีกครั้งจากฐานต่ำ เป็นจังหวะฟื้นตัวของราคาหุ้น