
AOT ได้มากกว่าเสีย.!
ถือเป็นช่วงไทม์ไลน์สำคัญชี้เป็นชี้ตายอนาคตหุ้น AOT ก็ว่าได้ กรณีการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีให้กับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
สำนักข่าวรัชดา
ถือเป็นช่วงไทม์ไลน์สำคัญชี้เป็นชี้ตายอนาคตหุ้นบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ก็ว่าได้ กรณีการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีให้กับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) 3 สัญญา 5 สนามบิน ประกอบด้วย 1) สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง สนามบินภูเก็ต สนามบินเชียงใหม่ และสนามบินหาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้รายได้ Non-Aero ลดลง…
ขณะที่การปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ หรือ PSC จะทำให้รายได้จากธุรกิจการบิน (Aero) เพิ่มขึ้น..!!
ทั้ง 2 เรื่องเป็นสิ่งที่นักลงทุนเฝ้าจับตา โดยเฉพาะบรรดากองทุนที่อยู่ระหว่างชั่งน้ำหนักจะลงทุนในหุ้น AOT เพิ่มมั้ย..?? หรือควรจะลดพอร์ตการลงทุนดีอ๊ะป่าว..??
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาหุ้น AOT เกิดความผันผวน ราคาไหลลงไปลึกหลุด 30 บาทเสียด้วยซ้ำ เพราะมีแรงกดดันจาก 2 เรื่องดังกล่าว…
พอมีความชัดเจน สิ่งแรกที่เห็นสัญญาสัมปทาน โดย 1) สนามบินสุวรรณภูมิ เรียกเก็บ Minimum Guarantee (MG) เป็นรายปีที่ 232.90 บาทต่อคน และส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ส่วนเพิ่มอีก 35% ของมูลค่าซื้อต่อผู้โดยสาร (Spending per Head) ส่วนเกิน คือ หากการซื้อของผู้โดยสาร 0-1,500 บาทต่อคน จะได้ส่วนแบ่งรายได้ที่ 20% ส่วนที่เกิน 1,500 บาท จะได้เพิ่มที่ 35% พร้อมยืดอายุสัญญา 2 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ
2) สนามบินดอนเมือง เก็บตามพื้นที่ขั้นต่ำ 39,187.76 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน และเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ที่ 20% ตามสัญญาเดิม หากอัตราการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารกลับมาเกิน 100% จะกลับไปใช้ MG เดิม และขยายอายุสัญญาโดยขึ้นอยู่กับอาคาร 3 ถ้าเสร็จตามแผนต่ออีก 2 ปี แต่ถ้าล่าช้าและสัญญาเหลือไม่ถึง 1 ปี จะยกเลิกสัญญาเพื่อประมูลใหม่
และ 3) สนามบินภูมิภาค 3 แห่ง ยังเรียกเก็บ MG ตามเดิมที่ 129.67 บาทต่อคน โดยเรียกเก็บเป็นรายปี และมีปรับเพิ่ม 5% ทุกปีต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2573
โอเค…รายได้ Non-Aero ลดลงจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานแน่นอน จากเดิมมี MG สูงถึง 15,000 ล้านบาท จะลดเหลือแค่ 6,000-7,000 ล้านบาท เท่ากับว่าจะหายไปราว 8,000 ล้านบาท
ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่รายได้หายไปอย่างมีนัยสำคัญ..!!
แต่ขณะเดียวกัน มีการปรับขึ้นค่า PSC เป็น 1,120 บาทต่อคน จากปัจจุบันเก็บที่ 730 บาทต่อคน ซึ่งเซอร์ไพรส์ตลาดมั๊ก ๆๆ เพราะเดิมทีตลาดคาดการณ์จะปรับขึ้นไม่เกิน 300 บาทเท่านั้น แต่นี่จัดชุดใหญ่ไป 390 บาทเลยทีเดียว…
เท่ากับว่า AOT จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10,000 ล้านบาท (บนสมมติฐานจะมีจำนวนผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศประมาณ 35 ล้านคน) ซึ่งมันมากกว่า 8,000 ล้านบาทที่หายไปอีกนะ มีส่วนต่างตั้ง 2,000 ล้านบาทเชียวหนา…
ก็มีความชัดเจนทั้ง 2 เรื่องในเรื่องเดียวกัน…
ทว่า AOT สูญเสียรายได้ Non-Aero ก็จริง แต่ได้คืนมาจาก Aero นะจิบอกให้…ทำให้บทสรุปของเรื่องนี้จะได้…มากกว่าเสีย..!!
ขณะที่นักวิเคราะห์เริ่มปรับมุมมองต่อ AOT อย่าง บล.ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองบวกมากขึ้นต่อผลประกอบการ AOT ที่คาดว่าจะกลับมาเติบโตตั้งแต่ปี 2569 ขับเคลื่อนด้วยรายได้และมาร์จิ้นตามการปรับเพิ่ม PSC รวมถึงการดำเนินงานขาขึ้นตามปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบิน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (2569-2571) ที่ 6% และ 5% CAGR ตามลำดับ ทั้งจากตลาดต้นทางระยะไกล และการฟื้นตัวของตลาดจีน สอดคล้องกับการขยายธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ ปรับประมาณการกำไรปี 2569-2571 ขึ้น 23%/57%/60% โดยคาดกำไรปกติเติบโตแข็งแกร่ง 22% เป็น 2.24 หมื่นล้านบาทในปี 2569 และเร่งตัวเป็น 34% ในปี 2570 จากผลการรับรู้ PSC ที่ปรับขึ้นเต็มปี
ฟาก บล.พาย ประเมินกำไรสุทธิปี 2569 ขึ้นจากเดิม 27% มาอยู่ที่ 22,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากเดิม 17,610 ล้านบาท โดยจะเริ่มเห็นการเติบโตจากปีก่อน ตั้งแต่งวดไตรมาส 3/2569 (เม.ย.-มิ.ย. 2569) เป็นต้นไป
ด้าน บล.ฟิลลิป ปรับคาดการณ์กำไรปี 2569 ขึ้นเป็น 1.96 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% จากเดิม 1.60 หมื่นล้านบาท และปี 2570 เป็น 2.51 หมื่นล้านบาท จากรับรู้ขึ้น PSC เต็มปี และดิวตี้ฟรีฟื้นตัวตามผู้โดยสาร
ทำให้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว (4 ธ.ค. 2568) เห็นแรงเข้ามาเก็งกำไรในหุ้น AOT กันคึกคึก โดยปิดตลาดที่ 53.00 บาท ราคาพุ่งไป 5.50% หรือปรับเพิ่มขึ้น 5.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นกว่า 6,403.94 ล้านบาท
ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปพุ่งไปแตะ 757,142.10 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของตลาด…
ส่วนใครที่ตกขบวนหุ้น AOT คงได้แค่ทำใจไปก่อน และบอกกับตัวเองว่า แหม เสียดายจัง.! เฮ้อ เสียดายจัง.!
…อิ อิ อิ…

