
ฟอกเงินหลอนหุ้นไทย?
ดูเหมือนเรื่องฟอกเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะเกี่ยวข้องกับหุ้นไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเส้นเรื่องมันโยงใยกันไปหมดในทุกภาคส่วน
เจาะกระดาน: โมนิก้าและทีมงาน
*ดูเหมือนเรื่องฟอกเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะเกี่ยวข้องกับหุ้นไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเส้นเรื่องมันโยงใยกันไปหมดในทุกภาคส่วน ขนาดตัวอีฉันพยายามเกาะติดเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ตั้งคำถามว่า ใช่เหรอ? ขณะเดียวกันเมื่อมีการนำภาพลับออกมาปล่อยบนโลกโซเชียล โดยมีนักการเมือง กระทรวงการคลัง อดีตทหารใหญ่ รวมทั้งผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ ก็ทำให้ผู้คนเชื่อสนิทใจว่า นี่คือก๊วนสแกมเมอร์ในทันทีพะยะค่ะ
*ถามว่า เรื่องดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดหุ้นไทยมากขนาดไหน? เดี๊ยนตอบได้ทันทีว่า กระเพื่อมแรง! เพราะทำให้ผู้คนมองตลาดหุ้นเต็มไปด้วยทุนเทา เพราะเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้มีอำนาจ แต่ถ้าเจาะลงไปในรายละเอียดให้ลึกนิดหนึ่งจะเห็นว่า ภาพที่นำมาปล่อยเป็นภาพเก่าที่เกิดขึ้นมาหลายปี ซึ่งตอนนั้นคนในวงการก็แค่รู้ว่า “เบน สมิธ” เป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้นเองนะจ๊ะ
*งานนี้เดี๊ยนไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้น แต่อยากให้แฟนคลับพอยต์ประเด็นนิดหนึ่งว่า การที่ ปปง. เปิดปฎิบัติการถอนรากแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ พร้อมยึดทรัพย์สินมูลค่าหมื่นล้าน ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะเป็นการกู้ภาพประเทศไทยไม่ใช่แหล่งซ่องสุมพวกอาชญากรระดับโลก เพียงแต่เหตุการณ์บางอย่างเป็นคนละตอนของเส้นเรื่องดังกล่าว “โมนิก้า” ถึงเกิดอาการเอะใจขึ้นมาเล็กน้อยก็เท่านั้นเองค่ะ
*โดยเรื่องที่ทุกคนรับรู้กันหมดแล้วก็คือ “ยิม เลียก” เป็นผู้บริหารของ “BIC” ขณะเดียวกัน “เบน สมิธ” ก็เป็นผู้บริหารของ “CAI” ซึ่งทั้งสองบริษัทป็นตัวหลักที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ และมีเครือข่ายอื่น ๆ คอยทำหน้าที่แตกต่างกันไป แต่ที่เป็นไฮไลต์ของเรื่องอยู่ที่หุ้น BCP เพราะเป็นหุ้นที่ก๊วนสแกมเมอร์ไล่ซื้อมาเรื่อย ๆ ซึ่งช่วงนั้นทำให้ผู้คนสงสัยมากเหลือเกินว่า ก๊วนที่ไล่ซื้อมีหัวนอนปลายตีนมาจากไหนพะยะค่ะ
*ที่น่าสนใจคือ “อัลฟ่าชาร์เตอร์” (ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ BIC และ CAI) กลายเป็นมือสุดท้ายที่เข้ามาซื้อหุ้น BCP โดยก่อนหน้านี้ผู้บริหารก็ออกมายืนยันว่า แหล่งเงินทุนที่ใช้ซื้อโปร่งใส พร้อมกับย้ำไม่มีการเมืองเชื่อมโยงแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นหนังเรื่องยาวที่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงให้สังคมได้เห็น เนื่องจาก ปปง. ได้ให้เวลาผู้ถูกอายัดหุ้นทำการพิสูจน์แหล่งเงินภายใน 90 วัน ซึ่งอีฉันอยากให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะจะได้รู้กันเสียทีว่า คนมาทีหลังบริสุทธิ์ขนาดไหนเจ้าคะ
*เหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ “โมนิก้า” อยากให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ “กำกับ” และ “ตรวจสอบ” เดินหน้าชนแบบสุดซอยไปเลย เพื่อทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีความน่าเชื่อถืออีกครั้ง เพราะคนที่กระทำผิดก็ควรใช้มาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาดเสียที ไม่เช่นนั้นจะมีเชื้อชั่วตัวใหม่เกิดขึ้นมาในตลาดหุ้นอีก และวัฎจักรทุนเทาก็จะวนลูปเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นไทยดูแย่ในสายตาคนรุ่นใหม่นะจะบอกให้
*เรื่องร้อนดังกล่าวทำให้ ก.ล.ต. รีบออกมาเด้งรับการทำงานของ ปปง. หลังอายัดหุ้น BCP มูลค่าสูงถึง 6 พันล้านบาท พร้อมขยายผลตรวจสอบบริษัทจดทะเบียนอีก 7 แห่ง และได้ย้ำว่า มีการประสานขอข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแลทั้งใน และต่างประเทศ เพื่อติดตามเส้นทางการเงิน และต้องการสืบหา “ไอ้โม่งตัวจริงที่ถือหุ้น” เป็นใครแบบนี้..เดี๊ยนขอให้สืบหาเจอไว ๆ เพราะไอ้กองทุนประหลาดเข้ามาเยอะมากในรัฐบาลก่อน..จริงหรือไม่? “พรอนงค์” น่าจะรู้ดีสุดนะตัวเอง
*ฟากฝั่งของ ตลท. ก็ออกมาแก้เกี้ยวทันควันเหมือนกัน และยืนยันตลาดหุ้นไทยไม่ใช่แหล่งฟอกเงิน พร้อมกับยอมรับแบบแมน ๆ ว่า ข่าวลบที่เกิดขึ้นมากมายก่อนหน้านี้ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น แต่อีฉันกลับไม่เห็นบอร์ตลาดฯ คนเก่ากับคนใหม่ทำอะไรที่เป็นรูปธรรมเลยสักอย่างแบบนี้..อีกไม่นานบริษัทดี ๆ เขาจะหันไปจดทะเบียนที่ตลาดหุ้นต่างประเทศกันหมด (โดนเจาะหลังบ้าน ยังไม่รู้อีกเหรอ)..อิอิอิ