พาราสาวะถี

ได้ยินเสียงเรียกร้องจากทั้งฝ่ายกระเตงอย่างพรรคประชาชน รวมไปถึงเหล่ากองเชียร์ที่หวังจะเห็นภาพลักษณ์ของรัฐบาล 4 เดือนหมดจดงดงาม


ได้ยินเสียงเรียกร้องจากทั้งฝ่ายกระเตงอย่างพรรคประชาชน รวมไปถึงเหล่ากองเชียร์ที่หวังจะเห็นภาพลักษณ์ของรัฐบาล 4 เดือนหมดจดงดงาม จึงอยากให้จัดการบรรดาบุคคลที่มีชื่อพัวพันแก๊งสแกมเมอร์ทั้งหลายแหล่ ถามว่ามันจำทำได้ยังไง ในเมื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นคนยอมรับเอง ตนดูโหงวเฮ้งเป็น มองคนออก ครม.ชุดนี้เลือกมากับมือ รู้ดีว่าใครเป็นแบบไหน ดูไม่ค่อยพลาดมากกว่า 80% ส่วนที่เหลือ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่แกล้งเซ่อ ด้วยเหตุผลแบบไม่รู้ว่าคนดีย์ทั้งหลายรับได้ยังไง เป็นพวกสีเทาแต่ผลักดันประโยชน์อื่นๆ ได้ ตนก็ยอมที่จะแกล้งเซ่อ

ความจริงก็คือยอมที่จะแกล้งเซ่อ หรือต้องทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะ หากไม่มีคนพวกนี้ก็ไม่มีปัญญาที่จะรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลได้ แม้แต่คนที่รัฐบาลก่อนหน้ายังไม่กล้าที่จะเอามาใช้งาน เนื่องจากปัญหาคุณสมบัติ แต่รัฐบาล 4 เดือนกลับไม่แยแส แน่นอน เพราะพลังที่อุ้มชูจึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีปมถูกยื่นร้อง แล้วโดนนิติสงครามเล่นงาน ไม่มีทางที่จะเกิดภาพเหมือนรัฐบาลทุกชุดที่นำโดยพรรคในคาถาของ ทักษิณ ชินวัตร

ทั้งนี้ มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว กรณี วรภัค ธันยาวงษ์ ที่ไขก๊อกพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยคลัง ด้วยเหตุผลปรากฏชื่อพัวพันแก๊งสแกมเมอร์ นั่นเป็นวิถีของคนที่ไม่ใช่พวกอย่างหนา จึงไม่ต้องการทำให้รัฐบาลแปดเปื้อน เป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนตัว สำหรับนักเลือกตั้งประเภทหน้าทน ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ยิ่งกับกรณีคนของพรรคที่ขนาดผู้นำยังกล้าพูดว่ามันคือแป้ง แล้วยังได้รับความไม่วางใจอยู่ในอำนาจในปัจจุบัน ใครมันจะไปยืดอกยอมรับ เพื่อทำให้พรรคของตัวเองมีมลทิน

คงไม่ต้องพูดถึงคนเป็นผู้นำรัฐบาล เมื่อย้อนกลับไปดูคำพูดแกล้งเซ่อ คิดว่าจะกล้าไปจัดการลิ่วล้อของพรรคที่ต้องงอนง้อขอเสียงอย่างนั้นหรือ ความจริงอนาคตทางการเมืองก็มองเห็นกันอยู่แล้วนับตั้งแต่เกิดรัฐบาลครึ่งบกครึ่งน้ำ มอบอำนาจให้ไปแล้วเหมือนพยัคฆ์ติดปีก การที่คนของพรรคสีส้มมาไล่บี้ตรวจสอบถามหาความรับผิดชอบแบบสุภาพบุรุษ ต้องบอกว่าฝันไปเถอะ ยิ่งได้ฟังคำพูดของเสี่ยหนูล่าสุด “เท่าที่พอจำความได้ไม่เคยเสียเปรียบใคร” เช่นนี้แล้วข้อตกลงที่ทำกันไว้ ถามว่าฝ่ายไหนกุมความได้เปรียบ

การได้กุนซือระดับปลาไหลใส่สเก็ต มันก็เป็นตัวบ่งบอกอยู่แล้วถึงความน่าเชื่อถือของคนเหล่านั้น บวกเข้ากับการโอ้อวดยกหางตัวเองของท่านผู้นำ ไม่รู้ว่าจะทำให้แกนนำของพรรคสีส้มที่ร่วมกันตัดสินใจในเวลานั้นรู้สึกผิดกันหรือไม่ แต่คงไม่เพราะ ข้อตกลงเงื่อนไขที่ไม่ได้เปิดเผยมันเป็นสิ่งที่ยากปฏิเสธ ดังนั้น กระแสความนิยมที่ดีมาต่อเนื่อง คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและอยู่ยืนยงไปถึงการเลือกตั้ง นาทีนี้ต่างพากันปาดเหงื่อ พร้อมรับสภาพ จากที่จะออกสตาร์ทแบบนำเป็นช่วงตัว กลายเป็นเริ่มต้นพอๆ กับพรรคคู่แข่ง ต้องไปวัดใจคนหย่อนบัตรในวันเลือกตั้งจะเลือกกันแบบไหน

ภาพที่ออกมาแบบนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อธิบายชัดว่า รัฐบาลจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จและทุนมหาศาล ผนวกเข้ากับพลังอนุรักษ์นิยมที่เห็นภูมิใจไทยแล้วอาจจะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องเป็นใจให้ก๊กสีน้ำเงิน เพราะดูเปล่งปลั่งที่สุดในบรรดาพรรคฝ่ายขวาที่จะตั้งรัฐบาลได้ จากต้วมเตี้ยมตามหลัง พรรคน้ำเงินโตขึ้นมาเสียเฉย ๆ พร้อมกับพลังอนุรักษ์ที่แพ้ทางการเมืองไปแล้วก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาอีก นี่กระมัง Grand Compromise ที่เปล่งมาจากปากผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคสีส้ม

ความน่าสนใจคือ กระบวนการตรวจสอบคนในรัฐบาลของพรรคสีส้ม นอกจากการแถลงข่าวผ่านสื่อรายวัน ถึงขนาดที่ว่าเกิดเป็นวาทกรรมรัฐมนตรีในกลุ่มรวมดาวถูกรุกหนัก เกิดวาทะโจรปราบโจร โจรอุ้มโจร มีเรื่องให้ต้องเคลียร์ต้องตอบรอบตัว แกนนำพรรคจะยินดีให้ลูกพรรคเดินหน้าตามแนวทางของสภา ไปถึงขั้นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ เพราะมืออีกข้างยังต้องกระเตงรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้อยู่ไปจนถึงกำหนดยุบสภา ตามท้องเรื่องที่กำหนดไว้ไม่เกิน 31 มกราคมปีหน้า

ถ้าดูจากกระแสข่าวด้านลบ ซึ่งกระทบต่อรัฐบาลเป็นระลอก ถึงตรงนี้ไม่ได้จำกัดวงแค่ความไม่ชอบมาพากลของตัวบุคคลหลายรายที่ร่วมรัฐบาล ล่าสุด กรณีคำพูดที่ ธนนนท์ นิรามิษ ภรรยาของเสี่ยหนูสื่อสารกับนักข่าว “ทำไมใจร้ายกับท่านนายกฯ จังเลย เดี๋ยวต่อไป จะจำไว้แล้วนะ” กำลังเป็นที่ถกเถียงนี่ เป็นเพียงแค่การหยอกล้อ หรือข่มขู่คุกคาม ต้องอย่าลืมว่าเรื่องใหญ่ทั้งหลายที่นำไปสู่การสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล มักจะเกิดจากปมที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้

ประเด็นนี้ ภคมน หนุนอนันต์ สส.และรองโฆษกพรรคประชาชน ชี้ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการใช้ Power Dynamics หรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียม เพื่อคุกคามการทำงานของสื่อมวลชน อาจต้องตีความสารที่ สส.รายนี้สื่อ แต่หากมองแบบชั้นเดียวเชิงเดียวนั่นก็คือ เสี่ยหนูจะต้องไม่ปล่อยให้ความเหลิงในอำนาจ หรือคิดว่ามีพลังวิเศษสนับสนุน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวอะไร ทั้งนี้ หากได้สัมผัสกับพรรคสีน้ำเงินอย่างใกล้ชิดแล้ว พอจะเข้าใจได้เหตุที่กล้าจะแสดงออกกับสื่อที่ไม่สนิทชิดเชื้อแบบนี้ เพราะอีกด้านก็มีการดูแลคนในแวดวงระดับหัวแถวของแต่ละสำนัก กันอยู่แล้ว

ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้จำกัดเฉพาะแวดวงการเมืองที่ถือว่ามีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดาสื่อ ทุกแวดวงก็มีกันแบบนี้ อยู่ที่ว่าใครจะมีคอนเนคชั่นกันแบบไหน ตอบแทนกันอย่างไรเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์ของรัฐบาล 4 เดือน มองผ่านความเคลื่อนไหวในช่วงเดือนแรก ทั้งส่วนที่เป็นด้านบวกและลบ โอกาสที่จะอยู่กันครบกำหนดเวลาตามลมปากของท่านผู้นำน่าจะเป็นไปได้น้อย ยุบสภาเพื่อชิงความได้เปรียบจากพลังอำนาจทั้งปวงที่สนับสนุน คือสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด

อรชุน

Back to top button