
ขุดทะเลทรายเช่าเครื่องบิน
ครับ ที่ผมจั่วหัวเอาไว้ก็คือเครื่องบินแอร์บัส A330-200 ที่ฝ่ายบริหารการบินไทยวางแผนจะเช่าทั้งฝูง 8-10 ลำ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท
ครับ ที่ผมจั่วหัวเอาไว้ก็คือเครื่องบินแอร์บัส A330-200 ที่ฝ่ายบริหารการบินไทยวางแผนจะเช่าทั้งฝูง 8-10 ลำ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท เพื่อมาทดแทนเครื่องบินพิสัยไกลจำนวน 9 ลำที่จะมีการปลดระวางและหมดสัญญาเช่าในปีหน้า
แผนเดิม ก็จะเช่าเครื่องโบอิ้ง 777-300 ER จำนวน 3 ลำ และโบอิ้ง 787-9 จำนวน 6 ลำ แต่อาจจะเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงขาขึ้นของตลาดเครื่องบิน โดยเฉพาะเครื่องบินดี ๆ และใช้งานได้สมอรรถประโยชน์ เจ้าของเครื่องบินจึงให้เช่ารายที่ยื่นข้อเสนอมาเร็ว และให้เงื่อนไขราคาที่ดีไปก่อน
ฝ่ายบริหารการบินไทยโดยชาย เอี่ยมศิริ และบอร์ดบางส่วน จึงต้องดิ้นรนหาเครื่องบินอื่นมาทดแทน ก็มาป๊ะเอากับเครื่อง A330+200 ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ที่จอดทิ้งกลางทะเลทรายในสหรัฐอเมริกามานับตั้งแต่เหตุการณ์แพร่ระบาดโควิดช่วงปี 2563-2564
ซึ่งบัดนี้ ก็เป็นเวลาที่เครื่องจอดสนิทกลางทะเลทราย โดยไม่บินมาเป็นเวลา 4-5 ปีแล้ว ผมถึงใช้คำว่าต้องขุดเครื่องบินจากทะเลทรายมาให้เช่านั่นไง
เครื่องบินที่จอดแช่โดยไม่ขึ้นบินเลยเป็นเวลาถึง 4-5 ปี และก็จอดกลางทะเลทราย ต้องทนร้อนทนหนาวกับสภาพอากาศที่เลวร้ายสุด ๆ ของทะเลทราย น่าตั้งคำถามถึงคุณภาพความปลอดภัยเครื่องบินทั้งที่นั่ง เครื่องยนต์ สนิม และฝุ่นทรายต่าง ๆ เป็นที่สุด
คงต้องซ่อมบำรุงฟื้นฟูกันอย่างหนักหากจะนำมาใช้ และไม่รู้ว่าตามสัญญาเช่า ค่าฟื้นฟูทั้งหลายเป็นของผู้เช่าหรือเจ้าของเครื่องบิน ซึ่งหากต้องซ่อม มูลค่าลำหนึ่งคงไม่หนี 500 ล้านบาทแน่
กับอีกประการหนึ่ง ก็คือเครื่อง A330-200 อาจจะเป็นเครื่องล้ำหน้าทันสมัยในช่วงยุคดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดำรงตำแหน่งดีดียุค 2552-55 (2009-2012) ก็จริง และมีข่าวว่าช่วงนั้นก็มีการสั่งซื้อเครื่องรุ่นนี้ด้วย แต่ก็กินน้ำมันมาก เมื่อเที่ยบกับเครื่องบินลำตัวกว้าง-พิสัยไกลรุ่นหรือค่ายอื่น ๆ
อาทิเช่น เมื่อเทียบกับดรีม ไลเนอร์ 787-9 ค่าเช่าอาจจะถูกกว่ากัน 50% แต่ค่าเชื้อเพลิงก็แพงกว่ากันถึง 25% และค่าซ่อมบำรุงก็ย่อมจะสูงกว่าแน่นอน เนื่องจากเป็นเครื่องตกรุ่น และสายการบินต่าง ๆ ปลดระวางกันไปเกือบหมดแล้ว
สรุปแล้ว หากจะดันสุดซอย เพื่อซื้อเครื่องบินโบราณฝูงนี้ ก็จะเป็นความสุ่มเสี่ยงมากทั้งในเรื่องของความปลอดภัย และต้องแบกรับต้นทุนที่สูงมากทั้งค่าเช่า ค่าซ่อม และค่าเชื้อเพลิง ไม่รู้เมื่อหมดสัญญา 5-6 ปีตอนส่งมอบเครื่อง ยังจะต้องซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพใช้งานเดิมอีกมากน้อยแค่ไหน
สรุป หากจะเช่า A330-200 ก็ต้องเสี่ยงทั้งความคุ้มค่า และความปลอดภัยผู้โดยสาร
แต่ก็ดีแล้ว ที่บอร์ดชุดใหม่หลังออกจากแผนฟื้นฟู สั่งทบทวนแผนการเช่าเครื่องบินฝูงนี้ ช่วงระหว่างการขาดแคลนระหว่างเครื่องบินที่สั่งจองยังมาไม่ถึง ก็อาจจะใช้วิธีบริหารหมุนเวียนเครื่องบินเอา หรือลดเส้นทางบินที่เพิ่มไปแล้ว แต่ผู้โดยสารน้อย เช่นเส้นทางกรุงเทพฯ-แฟรงค์เฟิร์ต
บินไปทำไม รู้ทกลางวันที่มีผู้โดยสารแค่ไม่เกิน 1 ใน 3
คงต้องเฝ้าจับตาดูบอร์ดชุดใหม่ 15 คน ที่จะรู้ผลการสรรหากรรมการเข้าใหม่ 8 คนช่วงต้นพ.ย.นี้ด้วยล่ะ
 
				