พาราสาวะถี

ไม่มีใครเถียงกับคำคุยโวโอ้อวดของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่าข้อตกลงร่วมกับกัมพูชา ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะเสียเปรียบ


ไม่มีใครเถียงกับคำคุยโวโอ้อวดของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่าข้อตกลงร่วมกับกัมพูชา ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะเสียเปรียบ เพราะตั้งแต่ประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเอง ตั้งแต่จบการศึกษา ยังไม่เคยรู้สึกว่าตนทำให้องค์กรที่สังกัดอยู่เสียเปรียบ ตรงกันข้ามมีความชำนาญพอสมควรในด้านการเจรจา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า หรือการเมือง ซึ่งเป็นเทคนิคของตนอธิบายไม่ได้ “เท่าที่พอจำความได้ ไม่เคยเสียเปรียบใคร คนถึงไม่ชอบหลายคน” มิเช่นนั้น คงไม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในรูปแบบพิเศษเช่นนี้

สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกังวล มันไม่ได้อยู่ที่ความแพรวพราวในการเจรจาของท่านผู้นำ แต่เป็นเรื่องความจริงใจ และจริงจังในการทำตามข้อตกลงของฝ่ายเขมรมากกว่า สองพ่อลูกตระกูลฮุนขึ้นชื่อในแง่ของการเป็นพวกตระบัดสัตย์อยู่แล้ว หนนี้อาจมีสหรัฐอเมริกาคอยบงการ จึงทำให้ไม่กล้าบิดพลิ้ว ก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เบื้องต้นเห็นสัญญาณในเชิงบวกจากการที่มีการประชุมร่วมของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาคหรืออาร์บีซีของทั้งสองประเทศ

มีการทำแผนปฏิบัติการหรือแอ็คชั่น แพลนร่วมกัน กำหนดวันดีเดย์ในการที่จะเริ่มถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่หลังจากที่ประเดิมเป็นเชิงสัญลักษณ์ไปแล้วหลังการลงนามเมื่อ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฟสแรกจะเริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้ เวลา 00.00 น. เป็นการปรับกำลังประเภท Type A ซึ่งเป็นอาวุธประเภทจรวดหลายลำกล้อง ในที่นี้คงเน้นไปที่ BM 21 อันเป็นอาวุธที่เขมรใช้ยิงถล่มเป้าหมายพลเรือนเป็นเหตุให้คนไทยเสียชีวิตเกือบ 20 ศพ ถ้าทำได้จริงถือเป็นการแสดงความจริงใจขั้นต้นของอีกฝ่าย

หลังจากนั้นเฟส 2 จะเริ่มต้นวันที่ 22 พฤศจิกายน เวลา 00.00 น. เป็นการถอนอาวุธประเภทปืนใหญ่ทั้งหมด ทั้งลากจูงและอัตราจร ขนาด 155 มม.ลงมา เป็นการปรับกำลังประเภท Type B สุดท้ายเป็นการปรับกำลังประเภท Type C เริ่มต้นวันที่ 13 ธันวาคม เวลา 00.00 น. เป็นอาวุธประเภท ยานเกราะ รถถัง ข้อตกลงดังกล่าวของฝ่ายเลขานุการนั้น จะมีการลงนามโดยแม่ทัพภาคที่ 2 กับ ผู้บัญชาทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา วันที่ 31 ตุลาคมนี้ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด

แน่นอนว่า การขยับเพื่อให้เห็นผลของเขมรในครั้งนี้เพื่อ หวังผลทั้งการยอมรับจากนานาประเทศ โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีน รวมไปถึงการเจรจาเพื่อ นำไปสู่การเปิดด่านชายแดน ที่เห็นได้ชัดว่า ผลกระทบทั้งหมดไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชนเท่านั้น ความเสียหายมหาศาลเกิดขึ้นกับรายได้ของตระกูลฮุนเอง สำคัญกว่านั้น ความพยายามในการแสดงออกให้ฝ่ายไทยไว้เนื้อเชื่อใจนั้น เพราะต้องการที่จะให้มีการปล่อยตัวเชลยศึกทั้ง 18 คนที่ถูกควบคุมตัวนั่นเอง

เรื่องนี้ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยัน การปล่อยตัวต้องเป็นไปตามหลักกติกาสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ พิจารณาจากลักษณะท่าทีของความเป็นปฏิปักษ์ที่เคยมีต่อกัน ต้องมีการลดระดับลงชัดเจน ผ่านผลการดำเนินการตามข้อตกลงที่ทั้งสองประเทศเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว 4 ข้อหลัก ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน วันนี้เพิ่งเริ่มต้นขยับพอเห็นภาพได้แค่เรื่องการถอนอาวุธเท่านั้น

การประเมินของฝ่ายความมั่นคงต่อการส่งตัวเชลยศึกกลับประเทศ โดยที่ยังไม่สามารถการันตีถึงความสำเร็จในข้อเรียกร้องทั้ง 4 ประการของประเทศไทย เกรงว่าฝ่ายเขมรจะใช้เล่ห์เหลี่ยม สร้างเรื่องเท็จ ตลบหลังสร้างความวุ่นวายกลับมา ของพรรค์นี้รู้กำพืดกันดีอยู่แล้วสำหรับบรรดาผู้นำกองทัพทั้งหลาย เรื่องใหญ่ที่จะเป็นตัววัดผลความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงของฝ่ายเขมรคือ การปราบปรามสแกมเมอร์ และแก้ปัญหาพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว นั่นเอง

กรณีของแก๊งสแกมเมอร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว หนนี้ก็เช่นกันต่อให้มีคณะทำงานร่วม โดยที่ฝ่ายไทยมีข้อมูลทั้งตัวการใหญ่ ผู้ร่วมกระทำผิด และสถานที่ตั้งของขบวนการก่ออาชญากรรมออนไลน์ หากอีกฝ่ายทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ ใช้ข้อมูลที่ได้ไปแจ้งกับผู้กระทำผิด จนหลบหนี ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน รวมถึงอุปกรณ์ในการกระทำผิด เหมือนที่คณะทำงานของเกาหลีใต้โดนมาแล้ว ขนาดว่าหวาดหวั่นต่อแรงกดดันจากรัฐบาลโสมขาว ยังกล้าทำ แบบนี้จะถือว่าความร่วมมือเป็นไปตามความต้องการของไทยหรือไม่

ส่วนปมพื้นที่สองหมู่บ้านของไทย ฮุน มาเนต เป็นคนเปิดเกมเองก่อนที่จะมีการลงนาม อ้างถึงกระบวนการสำรวจเพื่อจัดทำหลักเขตแดนชั่วคราวของสองประเทศ ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เมื่อเข้าสู่ภาคปฏิบัติหากฝ่ายเขมรลีลา ยั่วยุ หรือปลุกมวลชนให้เกิดความเคลื่อนไหวต่อต้านเหมือนที่ผ่านมา ถามว่าฝ่ายปฏิบัติของไทยจะดำเนินการอย่างไร เท่าที่ฟังจากฝ่ายความมั่นคงคือหนนี้ถ้ามีการยึกยัก ออกลูกสกปรก จะใช้มาตรการตอบโต้ที่เข้มข้นไม่เกรงใจ ไม่ใช้การประท้วงเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ก็ต้องถามทางฝ่ายกุมอำนาจพร้อมที่จะให้เกิดเหตุเช่นนั้นหรือไม่

มาถึงตรงนี้เสี่ยหนูพร้อมผู้ร่วมชะตากรรม ยังเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แรงกดดันที่จะถาโถมใส่รัฐบาลนั้นน่าจะลดน้อยถอยลง ประกอบกับโครงการคนละครึ่งพลัสได้เริ่มดำเนินการแล้ว จะสามารถเบนความสนใจของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าพันธมิตรที่ยกมือหนุนให้นั่งนายกฯ อย่างพรรคประชาชน สมาชิกหลายคนเริ่มจะตรวจสอบคนในรัฐบาลแบบรุกไล่ให้เข้าตาจนมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาพวกเทา ๆ ทั้งหลาย บางทีภายใต้ภาวะที่ไม่มีใครกุมความได้เปรียบทางการเมือง ทางเลือกว่าด้วยการยุบสภาก่อนเวลาอันควร น่าจะเป็นหนทางที่เลี่ยงไม่ได้

อรชุน

Back to top button