
SINGER กำไรไตรมาส 3 พุ่ง 400% รับรายได้ขาย-ดอกเบี้ยทะลัก
SINGER เปิดงบไตรมาส 3 กำไรแตะ 59.70 ล้านบาท โต 400% จากปีก่อน รับรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น และรายได้จากดอกเบี้ยเช่าซื้อพุ่ง 66.1% จากธุรกิจ Locked Phone หนุนผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง เดินหน้าขยายแพลตฟอร์ม SG Finance+ เพิ่มประสิทธิภาพขาย
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้น 55 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 62.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายในงวด 9 เดือนอยู่ที่ 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 โดยมีแรงหนุนจากรายได้ขายแบบเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น 149 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 328 เนื่องจากยอดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน “SG Finance+” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พนักงานขายและแฟรนไชส์ในการจำหน่ายสินค้า ลดการใช้เอกสาร ลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อ และขยายช่องทางขายทั้งออนไลน์และหน้าร้าน โดยธุรกิจ Locked Phone ของบริษัทย่อยเติบโตโดดเด่นในปี 2568 ด้วยการปล่อยสินเชื่อรวม 6,338 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนสัญญาเช่าซื้อใหม่ 563,521 สัญญา และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องในไตรมาสถัดไป
ด้านต้นทุนขายของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือร้อยละ 56 สำหรับไตรมาส 3 และเพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.9 สำหรับงวด 9 เดือน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการตั้งสำรองเผื่อปรับลดมูลค่าและตัดจำหน่ายสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 87 ล้านบาท แม้ต้นทุนสินค้ามือสองลดลง 130 ล้านบาท แต่ต้นทุนสินค้ามือหนึ่งเพิ่มขึ้น 69 ล้านบาท รวมถึงต้นทุนจำหน่ายตู้น้ำมันแบบเติมเงินที่เพิ่มขึ้น 26 ล้านบาท
รายได้จากดอกเบี้ยรับจากสัญญาเช่าซื้อและเงินให้กู้ยืมเพิ่มขึ้น 289 ล้านบาท หรือร้อยละ 66.1 ในไตรมาส 3 และเพิ่มขึ้น 740 ล้านบาท หรือร้อยละ 57.5 ในงวด 9 เดือน เนื่องจากบริษัทย่อยขยายการปล่อยสินเชื่อโทรศัพท์มือถือ (Locked Phone) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ส่งผลให้ฐานรายได้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้นชัดเจนและกลายเป็นฐานใหม่ในการเติบโตของกลุ่มบริษัทในปี 2568
อย่างไรก็ตาม รายได้อื่นลดลง 13 ล้านบาท หรือร้อยละ 44.8 สำหรับไตรมาส 3 และลดลง 39 ล้านบาท หรือร้อยละ 43.3 สำหรับงวด 9 เดือน เนื่องจากการเปลี่ยนวิธีรับรู้รายได้ค่าการสนับสนุนทางการตลาด จากเดิมเป็นรายได้อื่นมาเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ
ต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 43 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.7 และ 108 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.5 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านที่ปรึกษากฎหมาย ค่าประกัน และการตั้งสำรองหนี้สินตามคดีความ ขณะที่บริษัทมีการลดขนาดสำนักงานใหญ่และคลังสินค้ามือสอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ โดยว่าจ้างผู้ให้บริการภายนอก (3rd Party) เข้ามาบริหารจัดการคลังสินค้าแทน
ขณะเดียวกัน ต้นทุนทางการเงินของกลุ่มบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 43 ล้านบาท หรือร้อยละ 76.8 ในไตรมาส 3 และลดลง 145 ล้านบาท หรือร้อยละ 78.8 ในงวด 9 เดือน เมื่อเทียบกับปีก่อน สืบเนื่องจากการชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในระหว่างปี ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยลดลงอย่างชัดเจน


