
WTI–BRENT ปิดบวก 2% หลัง “รัสเซีย” ระงับส่งออกน้ำมัน เหตุถูกโดรน “ยูเครน” โจมตี
ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวขึ้นกว่า 2% จากเหตุท่าเรือโนโวรอสซิสค์ของรัสเซียหยุดส่งออกชั่วคราวหลังถูกโดรนยูเครนโจมตี สร้างความกังวลต่ออุปทานราว 2% ของตลาดโลก
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส หรือ WTI ปิดตลาดนิวยอร์กในวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่า 2% หลังท่าเรือในเมืองโนโวรอสซิสค์ของสหพันธรัฐรัสเซียระงับการส่งออกน้ำมันดิบชั่วคราว ภายหลังถูกโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับจากยูเครน ส่งผลให้สถานีเก็บน้ำมันและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบได้รับความเสียหาย และมีลูกเรือสามรายได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลด้านเสถียรภาพอุปทานน้ำมันในตลาดโลก
โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธันวาคมปรับเพิ่ม 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.39% ปิดที่ระดับ 60.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.38 ดอลลาร์ หรือ 2.19% ปิดที่ 64.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับภาพรวมตลอดสัปดาห์ สัญญา WTI ขยับขึ้นประมาณ 0.6% ส่วนเบรนท์เพิ่มขึ้น 1.2%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้มีความรุนแรงกว่าหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา และส่งผลโดยตรงต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย เนื่องจากท่าเรือโนโวรอสซิสค์เป็นจุดขนส่งสำคัญที่รองรับปริมาณสูงถึง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นราวร้อยละ 2 ของอุปทานตลาดโลก ขณะเดียวกัน บริษัท Transneft ผู้ผูกขาดระบบท่อส่งน้ำมันของรัสเซีย ได้หยุดการลำเลียงน้ำมันมายังปลายทางดังกล่าวด้วย
ขณะที่นักวิเคราะห์ของธนาคารสหภาพสวิส หรือ UBS ให้ความเห็นว่า ความถี่ของการโจมตีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจสร้างความเสียหายยืดเยื้อจนส่งผลต่อการส่งออกในระยะยาว นอกจากนี้ ยูเครนยังรายงานว่าได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันในแคว้นซาราตอฟ และคลังน้ำมันในเมืองเอนเกลส์ในคืนก่อนหน้า ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
ด้านนักลงทุนกำลังประเมินผลกระทบต่อเสถียรภาพอุปทานของรัสเซียในอนาคต และติดตามความคืบหน้าของมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก โดยสหราชอาณาจักรได้ออกใบอนุญาตพิเศษอนุญาตให้ภาคธุรกิจทำงานร่วมกับบริษัทลูกในบัลแกเรียของ Lukoil หลังรัฐบาลบัลแกเรียสั่งยึดทรัพย์สินของบริษัทดังกล่าว ส่วนสหรัฐอเมริกาเตรียมบังคับใช้มาตรการห้ามทำธุรกรรมกับ Lukoil และ Rosneft หลังวันที่ 21 พฤศจิกายน เพื่อกดดันรัสเซียให้กลับเข้าสู่การเจรจาสันติภาพ
ส่วน JPMorgan เปิดเผยว่า น้ำมันรัสเซียราว 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเกือบหนึ่งในสามของปริมาณส่งออกทางเรือ กำลังถูกกักอยู่ในเรือบรรทุกเนื่องจากความล่าช้าในการขนถ่ายจากมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัท Rosneft และ Lukoil พร้อมเตือนว่าขั้นตอนการขนถ่ายอาจเผชิญอุปสรรคมากขึ้นหลังเส้นตายวันที่ 21 พฤศจิกายน

