ช่วงสั้นคาด SET มีโอกาสพักตัว หลังขาดปัจจัยบวกใหม่ 

InnovestX มองว่าการที่ ปธน. ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติภาวะ Government Shutdown อย่างเป็นทางการหลังยาวนาน 42 วัน


InnovestX มองว่าการที่ ปธน. ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติภาวะ Government Shutdown อย่างเป็นทางการหลังยาวนาน 42 วัน เป็นไปตามที่ประเมินไว้ว่า แรงกดดันเชิงการเมืองจะเร่งให้ทั้งสองพรรคหาทางออกภายในกลางเดือน พ.ย. แม้การยุติ shutdown จะช่วยจำกัดผลกระทบต่อ GDP ในไตรมาส 4/68 ไว้ที่ราว -1.2% ก่อน rebound 1.3% ในไตรมาสแรกของปีหน้า แต่ InnovestX มองว่าความเสี่ยงที่แท้จริงของตลาดแรงงานจะปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อข้อมูลเศรษฐกิจกลับมาเผยแพร่อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “low hire, low fire” สู่ “no hire, but fire” โดยมีการปลดพนักงาน 153,074 ตำแหน่งในตุลาคม (สูงสุดรอบ 20 ปี) สะสมทั้งปีทะลุ 1 ล้านตำแหน่ง ขณะที่การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) เพิ่มเพียง 42,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่า break-even และความเชื่อมั่นผู้บริโภคร่วงสู่ 50.3 ใกล้สถิติต่ำสุด ทำให้เราคาดว่า Fed น่าจะลดดอกเบี้ย 25 bps ทั้งในเดือน ธ.ค. 68 และ ม.ค. 69 เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างตลาดแรงงานช่วยสนับสนุนวัฐจักรเศรษฐกิจ

ส่วนประเด็นโอเปกคาดภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาดเล็กน้อยในปี 2569 จะส่งผลให้ราคาน้ำมัน Brent ลดลง 4% เหลือ 62.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ InnovestX มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อในครึ่งแรกของปี 2569 จะยังไม่สูงมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันครึ่งแรกของปี 2568 ยังอยู่ในระดับสูง (70-80 ดอลลาร์/บาร์เรล) ทำให้เกิดปัจจัยฐานสูงที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำถึงเดือน มิ.ย. 69 ซึ่งทำให้ Fed ยังมีพื้นที่เพียงพอในการปรับลดดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งแรกของปี อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังเมื่อฐานราคาน้ำมันปี 2568 อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจัยฐานสูงจะหมดไป ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้การลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังเป็นไปได้ยากมากขึ้น 

สำหรับตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET มีโอกาสพักตัวหรือแกว่งตัวลง หลังตลาดเริ่มขาดปัจจัยบวกใหม่ โดยทางเทคนิคหลังดัชนีเริ่มหลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญ 1,285 ทำให้มีโอกาสแกว่งลงไปที่บริเวณ 1,265-1,240 จุด ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ GDP ไตรมาส 3/68 ซึ่งคาดเติบโต 1.0-1.5%YoY ชะลอตัวลงจาก +2.8%YoY ในไตรมาส 2/68, ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาซึ่งอาจกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในระยะสั้น แม้คาดจะมีผลกระทบจำกัดต่อผลประกอบการ บจ. ไทยโดยรวม รวมทั้งการประชุม ครม. คาดจะมีการพิจารณามาตรการแก้หนี้เสียรายย่อย, รถไฟฟ้าสายสีม่วง-สีแดง 40 บาทตลอดสาย และเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ FOMC Minutes, ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญทั้งภาคแรงงาน NFPs และภาคเงินเฟ้อ PCE CPI หากหน่วยงานราชการกลับมาเปิด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก และ 1 ธีมเทรดดิ้งซึ่งมีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้ 

  1. หุ้น Earning Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY และเราแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดี อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside ได้แก่ BCPG, BEM, BGRIM, MTC, PTT
  2. หุ้นปันผลคุณภาพดีซึ่งมี SETESG Rating A-AAA เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตระยะสั้น โดยคาดจะมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2568 หลังหักเงินปันผลจ่ายระหว่างกาลแล้ว ซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5% และเราแนะนำ Outperform ได้แก่ BAM, WHA, KTB, AP, SIRI, TOP, BLA  
  3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาด กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายปีนี้อีก 1 ครั้งในเดือน ธ.ค. และปีหน้า 2 ครั้งในช่วง 1H69 อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL, GPSC, TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP, MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF, FTREIT, LHHOTEL
  4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ แนะนำ กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL, ERW) จากมาตรการเที่ยวดีมีคืน, กลุ่มไฟแนนซ์ (BAM, MTC) จากมาตรการพักหนี้และให้สินเชื่อรายย่อย

นางสาวณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล

ผู้อำนวยการอาวุโส Equity Strategy Team

บล. InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX

Back to top button