
CLSA ชู CPALL–CPN ท็อปพิก! รับกำไรแกร่ง–นักท่องเที่ยวฟื้นตัว
CLSA ชี้โอกาสเก็บหุ้นคุณค่ากลุ่มผู้บริโภคและท่องเที่ยว มองกำไรยังโตแกร่งแต่ราคายังไม่สะท้อนพื้นฐาน หนุน CPALL–CPN เป็น Top Pick รับแรงฟื้นตัวของท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ CLSA เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ชี้ให้เห็นโอกาสการลงทุนใหม่ในตลาดหุ้นไทยโดยเน้นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐาน (undervalued stocks) แม้ราคาหุ้นยังซบเซา แต่กำไรยังเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยบทวิเคราะห์ระบุว่าตลาดหุ้นไทยพัฒนาเข้าสู่การเป็นตลาดที่มีการซื้อขายคึกคัก ขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่องสูง โดยในปีนี้มีสัดส่วนการซื้อขาย 47% มาจากรายย่อยและสถาบันในประเทศ ส่วนอีก 35% มาจากการซื้อขายผ่านระบบ DMA (Direct Market Access)
โดย CLSA ได้คัดกรองหุ้นที่อยู่ในขอบเขตการวิเคราะห์ของบริษัท โดยเปรียบเทียบฟื้นตัวของกำไรกับราคาหุ้นหลังยุคโควิด-19 และตัดหุ้นวัฏจักร (cyclical plays) ออกเพื่อลดความเสี่ยงจากการปรับฐานในตลาดโลก พบว่าหลายบริษัทโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภค, สินเชื่อรายย่อย (consumer finance) และท่องเที่ยว ยังคงมีกำไรเติบโตโดดเด่นแต่ราคาหุ้นยังอ่อนตัว
ทั้งนี้ กลุ่มเด่นและหุ้นแนะนำ CLSA ให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มผู้บริโภคและท่องเที่ยว โดยคาดฤดูท่องเที่ยวจะฟื้นตัว ประกอบกับนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนเส้นทางมาไทยแทนญี่ปุ่น หุ้นกลุ่มผู้บริโภคอย่าง CBG, OSP, CPALL และ CPN รวมถึงหุ้นท่องเที่ยวอย่าง AOT, MINT, CENTEL, ERW, และ BDMS จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นคุณค่า CLSA ยืนยันการเลือก CPALL และ CPN เป็น “Top Pick” มองว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว
โดยความเสี่ยงดาวน์ไซด์ของ CPALL มีจำกัด จากอัตราส่วนราคา/กำไร (PE) 14.9 เท่า/14.1 เท่าสำหรับปี 2568/2569 และแรงหนุนจากการดำเนินงาน โดยหากคิดแบบประมาณการ หาก GPM (อัตรากำไรขั้นต้น) ขยับขึ้น 0.5% จะช่วยหนุนกำไร 4% ส่วน CPN มีจุดแข็งจากการปรับค่าเช่าได้และทราฟฟิก (traffic) แข็งแกร่ง
ขณะเดียวกัน CBG และ OSP ถูกกดดันจากสถานการณ์การเมืองในเมียนมา อาจกระทบกำไรสูงสุดถึง 20% ในปี 2569 ด้าน MINT กลุ่มท่องเที่ยว มีแนวโน้มกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาด เพราะต้นทุนดอกเบี้ยหุ้นกู้ perpetual bonds ที่ตลาดมองข้าม
ขณะที่ CENTEL และ ERW ผลงานโดดเด่นในปีนี้จากพึ่งพาตลาดท่องเที่ยวไทยสูง ส่วน BDMS เผชิญแรงกดดันจากจำนวนนักเดินทางชาวกัมพูชาที่ลดลง แม้รายได้ผู้ป่วยไทยและต่างชาติยังโตในเดือนตุลาคม แต่ภาพเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงอาจกดดันผลประกอบการต่อเนื่องถึงปี 2569
CLSA มีมุมมองเป็นกลางกับกลุ่มสินเชื่อรายย่อย เพราะคาดหวังสูงและราคาสะท้อนเชิงบวกไว้มากแล้ว การปรับฐานราคาหุ้น MTC และ TIDLOR ในช่วงหลังถือว่าเหมาะสมในเชิงมูลค่า และหากกำไรผิดจากที่คาดอาจเกิดแรงขายต่อเนื่อง
ดังนั้น หุ้นน่าสนใจอื่นๆ
SISB ผู้ให้บริการการศึกษาถูกมองว่าราคาต่ำกว่าพื้นฐาน แม้จำนวนเด็กเรียนชะลอ แต่ CLSA คาดจะกลับมาโตหลังเปิดแคมปัสใหม่ปี 2570
ส่วน ICHI และ TOA ที่ไม่อยู่ในกลุ่มบริษัทที่ฝ่ายวิเคราะห์มีการจัดทำบทวิเคราะห์ แต่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองของ CLSA ด้วยอัตราซื้อขาย PE ที่ 11-12 เท่า พร้อมปันผลสูง 7-8% และสถานะเงินสดสุทธิ
แม้เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค CLSA มองว่ายังมีโอกาสเชิงเลือกในหุ้นกลุ่มผู้บริโภคและหุ้นท่องเที่ยวไทยที่มีลักษณะเชิงรับ กำไรแข็งแกร่งและมูลค่าน่าสนใจในภาวะปัจจุบัน