พาราสาวะถี

ลีลาทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี 4 เดือน ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เขี้ยวลากดินเสียขนาดนั้น การประกาศยุบสภาวันที่ 12 ธันวาคมที่จะถึงนี้ อันเป็นวันเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ


ลีลาทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี 4 เดือน ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เขี้ยวลากดินเสียขนาดนั้น การประกาศยุบสภาวันที่ 12 ธันวาคมที่จะถึงนี้ อันเป็นวันเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ ด้วยข้ออ้างถ้าเปิดแล้วพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ อันนำไปสู่การต้องลงมติ ในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นอันต้องจบเห่แน่นอน ดังนั้น ต้องชิงลงมือเสียก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองพร้อมคณะรัฐบาลต้องกระเด็นตกเก้าอี้ 

ไม่เพียงแต่แสดงท่าทีแข็งกร้าวที่ มีวาระซ่อนเร้นเด่นชัด คำประกาศของ อนุทิน ชาญวีรกูล ยังแฝงไปด้วยเจตนาในลักษณะยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว อย่างแรกเป็นการดิสเครดิตเพื่อไทยเพื่อชี้ชวนให้ประชาชนเห็นว่า เป็นผู้ทำลายความตั้งใจที่จะรักษาสัญญาในข้อตกลงหรือเอ็มโอเอที่ได้ทำไว้กับพรรคสีส้ม เป็นฝ่ายที่ทำให้ไม่สามารถยุบสภาได้ตามไทม์ไลน์ที่ได้บอกไว้ 31มกราคม 2569 และเป็นพรรคที่มุ่งเล่นเกมการเมือง ทั้งที่รัฐบาลเพิ่งเข้ามาทำงาน เป็นการพูดที่ลืมไปว่าวันแรกที่ตัวเองตีตัวจากรัฐบาลก่อนหน้าไปเป็นฝ่ายค้าน ก็เคยประกาศจะซักฟอกรัฐบาลแบบนี้เช่นเดียวกัน

ประโยชน์ที่ได้จากการแสดงท่วงทำนองขึงขังต่อมาคือ เป็นการบีบพรรคประชาชนไปในตัว ที่ต้องทำข้อตกลงลับ หากมีการยื่นซักฟอกต้องไม่เล่นบทฝ่ายค้าน ยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้ำต่อไป เพื่อให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินไปถึงฝั่งฝันตามที่พรรคสีส้มต้องการ ซึ่งก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าไม่มีทางที่การเจรจาจะลงเอยในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ เพราะถ้าเพื่อไทยยื่นอภิปรายรัฐมนตรีที่อยู่ในลิสต์สีเทา พรรคส้มจะกระเตงอุ้มสมกันต่อ ก็เท่ากับเป็นการฮาราคีรีตัวเอง ไปโดยปริยาย

ขณะเดียวกัน เป้าประสงค์หลักหากอนุทินเลือกที่จะยุบสภาตามที่ประกาศไว้ เท่ากับเป็นการปิดเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินการอยู่เวลานี้ ถือว่า ตรงกับความต้องการของฝ่ายอนุรักษ์นิยม และเข้าทางพรรคสีน้ำเงินที่ไม่ต้องจะให้เกิดการแก้ไขอยู่แล้ว รู้กันดีว่ากลไกที่ออกแบบมานั้นพรรคการเมืองแบบไหนที่ได้ประโยชน์มาโดยตลอด ประกอบกับการได้แรงหนุนอันเป็นอภิมหาพลังอันวิเศษขนาดนี้ ใครจะไปโง่ทำตามความต้องการของพรรคสุดโต่ง

เรื่องการพลิกลิ้นเป็นปกติของนักการเมืองลิ้นสองแฉกอยู่แล้ว ยิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นระดับปลาไหลใส่สเก็ตด้วยแล้วไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ เมื่อพิจารณารูปรอยของ    ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่การตั้งรัฐบาลที่เกิดจากสถานการณ์การเมืองบังคับ หากแต่เป็นการวางแผนกันมาดิบดี จะเรียกว่าแยบยลคงไม่ได้ เพราะในแวดวงต่างรู้กันดีว่ามีความเคลื่อนไหวกันแบบไหน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อนุทินและพรรคสีน้ำเงินเนื้อหอมขึ้นมาทันตา ไม่ใช่เพราะเป็นแกนนำรัฐบาลในห้วงก่อนจะเลือกตั้ง แต่เป็นอย่างอื่นที่มี พลังดึงดูดมหาศาล มากกว่า

อยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่า สามารถชี้นิ้วสั่งอะไรก็ได้ จึงต้องจัดการให้ทุกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อการกลับเข้ามากุมอำนาจอีกกระทอก นอกเหนือจากกระบวนการทางการเมืองที่ระดมพลังดูดกันมาเต็มสตรีมแล้ว การโยกย้ายข้าราชการชนิดล้างบางแทบจะหมดทั้งกระทรวง ในกระทรวงสำคัญอย่างมหาดไทย ในห้วงเวลาที่เข้ามาทำงานแค่ไม่ถึงสองเดือน มันก็บ่งชี้เจตนาได้อย่างชัดเจนว่าเพื่ออะไร เป็นการใช้คนให้เหมาะกับงานคือข้ออ้างที่ถูกต้อง เพียงแค่ไม่ใช่งานเพื่อประชาชนแต่เป็นงานเพื่อนักการเมือง และพรรคการเมืองต่างหาก

ยิ่งมองไปถึงการกวาดต้อนเหล่าบ้านใหญ่ในหลายจังหวัดมาเข้าคอกพรรคสีน้ำเงิน มันยิ่งสะท้อนถึงอำนาจ บารมี และการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ลงตัวกันสุด ๆ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะเฟื่องฟู ขึ้นหม้อ จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกกับการประกาศยุบสภาก่อนกำหนด บอกไว้ตั้งแต่ที่อนุทินพร้อมพวกเข้ามาบริหารประเทศแรก ๆ แล้วว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์กุมความได้เปรียบ เอ็มโอเอไม่มีความหมาย พวกเขี้ยวลากดิน คงไม่มีใครโง่และบ้าบอที่จะขอเข้ามาทำงานแค่ 4 เดือนแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านตัวเปล่า

ส่วนกรณี วราวุธ ศิลปอาชา ตัดใจทิ้งชาติไทยพัฒนาอันเป็นมรดกพรรคการเมืองที่ บรรหาร ศิลปอาชา ทิ้งไว้ให้สืบต่อนั้น มันเป็นเรื่องของจังหวะที่สอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายอยากจะยิ่งใหญ่ พรรคการเมือง 10 เสียง ที่ฐานเสียงหลักคือ 5 สส.สุพรรณบุรี เมื่อพิจารณาอำนาจในการต่อรองแล้ว ถ้าไม่ตัดสินใจในรอบนี้ จะไม่มีโอกาสไหนสามารถสร้างมูลค่าให้กับพรรคได้เท่ากับครั้งนี้แล้ว เมื่อทุกอย่างวินวิน ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดถึงเสียงวิจารณ์ค่อนขอดใด ๆ

ใครที่ไปหยิบยกเอาเรื่องในอดีตที่ กุนซือของพรรคสีน้ำเงินเคยประกาศจะกระโดดเตะก้านคอบรรหารผู้พ่อ สมัยที่ยังเป็นพรรคชาติไทยนั้น ให้ลบภาพนั้นทิ้งไปได้เลย เพราะทั้งสองฝ่ายได้จูบปากกันอย่างชื่นมื่นไปแล้ว ขณะเดียวกันผู้พ่อก็เคยแสดงให้เห็นแล้วว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรเมื่อคราวที่ตอบรับเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ทั้งที่ตัวเองถูกคนของพรรคเก่าแก่ขุดเอาประวัติของบิดามาใส่ร้าย เล่นงานจนต้องประกาศยุบสภา สร้างความเจ็บปวดให้กับตระกูลศิลปอาชาในเวลานั้นเป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อประชาธิปัตย์ขอให้ชาติไทยเข้าร่วมรัฐบาล จากปากของ กัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาวสุดรักของบรรหารก็บอกว่า พ่อบอกกับครอบครัว ขอให้ลืมความขุ่นข้องหมองใจ เพราะหากพรรคไม่เข้าร่วมรัฐบาลประเทศชาติก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ดังนั้น หากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบิ๊กเติ้งยอมนำพาพรรคไปสวามิภักดิ์ต่อพรรคสีน้ำเงิน จึงไม่ใช่เรื่องของการละทิ้งพรรค แต่เป็นไปตามแนวทางที่ผู้พ่อเคยทำให้เห็น การเมืองเบื้องหน้าถ้าทุกอย่างสมประโยชน์ให้เลือกทางนั้น

อรชุน

Back to top button