พาราสาวะถี

เชื่อได้หรือเปล่าไม่รู้ ฟัง อนุทิน ชาญวีรกูล คุยฟุ้งต่อการยกหูชี้แจง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประเด็นระงับปฏิญญาสันติภาพกับเขมร


เชื่อได้หรือเปล่าไม่รู้ ฟัง อนุทิน ชาญวีรกูล คุยฟุ้งต่อการยกหูชี้แจง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประเด็นระงับปฏิญญาสันติภาพกับเขมร โดยอ้างว่าประธานาธิบดีมะกันเข้าใจการดำเนินการของไทย โดยเฉพาะกรณีเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ทางฝั่งไทยยังคงเดินหน้าเต็มที่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ดำเนินการ เพราะถือเป็นประเด็นที่ทรัมป์มีความห่วงใย แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่เมื่อเข้าใจกระบวนการของไทยแล้ว จะมีการแยกปมเรื่องความมั่นคง กับการเจรจาภาษีกับไทยออกจากกันหรือไม่

เสี่ยหนูยืนยันว่าได้ ขอให้ทรัมป์ลดภาษีให้กับไทยลงอีก 2 เปอร์เซ็นต์ จากที่ประกาศจัดเก็บในอัตรา 19 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกรณีที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือมาเพื่อขอระงับการเจรจาในเรื่องดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าไทยจะเดินหน้าเรื่องปฏิญญานั้น เป็นการดำเนินการที่เกิดขึ้นก่อนตนจะได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล พร้อมบอกด้วยว่า ทรัมป์เป็นคนตรงไปตรงมา ตรงนี้แหละที่อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่อนุทินบอก เพราะเห็นมาตลอด ผู้นำสหรัฐฯ เป็นพวกที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยมากกว่า

อาจจะมีข้อต่อรองอื่นที่นอกเหนือจากปมไทยกับเขมร เช่น ข้อตกลงเรื่องแร่หายากหรือแรร์เอิร์ธที่ได้ลงนามกันไป เพราะมองไปยังท่วงทำนองของทรัมป์ไม่มีอะไรซับซ้อน ทุกการเจรจาไม่ว่ากับชาติใดจะต้องให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์สูงสุด กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน เบื้องหลังที่ไม่ได้เปิดเผยไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ แต่หากการเจรจาเรื่องภาษีสามารถขับเคลื่อนไปได้ และมีแนวโน้มในเชิงบวกก็ต้องยอมรับว่า ที่เสี่ยหนูเคยพูดไว้ไม่เคยเสียเปรียบใครในการเจรจาคงจะเป็นอย่างที่ว่าจริง

สิ่งที่ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยืนกระต่ายขาเดียวต่อท่าทีอันแข็งกร้าวกับเขมร นั่นเป็นเพราะการไม่ยอมถอยของทางกองทัพ โดยเสี่ยหนูก็ยอมรับว่า การทำงานในเรื่องนี้ยึดมั่นในประโยชน์ของประเทศ และประโยชน์ของประชาชนให้มากที่สุด ซึ่ง กองทัพไทยก็บอกแล้วว่าจะกลับมาดำเนินการตามปฏิญญาได้ก็ต่อเมื่อความเป็นปรปักษ์ของกัมพูชาไม่มี ไม่เป็นภัยแต่ความมั่นคงของชาติแล้ว เมื่อกองทัพพูดชัดเจนเช่นนี้ รัฐบาลก็ต้องไปตามนั้น ไปเห็นเป็นอย่างอื่นมันไม่ได้

ต้องเข้าใจว่าถ้ามองไปยังภาพของผู้นำเหล่าทัพเวลานี้ ล้วนแต่เป็นบรรดาสายเหยี่ยว รวมไปถึง พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากที่เล่นบทสายบุ๋นอยู่นาน ถึงเวลาที่จะต้องเล่นบทบู๊กันแล้ว ดังนั้นปมเรื่องการปล่อยตัว 18 เชลยศึกเขมร จึงวางใจได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะทางกองทัพเห็นตรงกันกัมพูชายังไม่แสดงสัญลักษณ์และแสดงอาการสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์ ซึ่งการที่ ฮุน เซน อ้างว่าไม่สนใจเรื่องเชลยศึกนั้น มันก็เป็นการแก้เกี้ยว รักษาอาการเสียหน้า และรู้ว่าฝ่ายไทยไม่มีทางยอม แน่นอน

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจต่อความปลิ้นปล้อนของอีกฝ่าย เหมือนกรณีการปิดด่านชายแดน ที่ทำตัวชักเข้าชักออก เป็นพวกปากกล้าขาสั่น ด้านหนึ่งก็บอกว่าเขมรไม่เดือดร้อนหากไทยจะปิดด่านนานเป็นร้อยปีหรือห้าร้อยปี แต่อีกด้านก็บอกว่าจะส่งผลกระทบต่อภูมิภาค ประมาณว่าจะหาประเทศในอาเซียนให้มาเป็นพวกเพื่อสร้างแรงกดดันกับไทย ในขณะนี้ คงมีแต่มาเลเซียเท่านั้นที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขมร ประเทศอื่น ๆ ต่างรู้เช่นเห็นชาติ รู้กันว่าธาตุแท้ของพ่อลูกตระกูลฮุนนั้นเป็นยังไง

ยิ่งข่าวสารที่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะกับข้อกล่าวหามายังฝั่งไทย ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ยังหาความจริงไม่เจอ เก่งแต่การพูดโกหก กับกรณีล่าสุดที่สื่อเขมรรายงานอ้างว่าทหารพรานไทยทำร้ายร่างกายและข่มขืนหญิงชาวกัมพูชาในพื้นที่สวายเจก ฝั่งตรงข้ามจังหวัดตราด ทำให้ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ต้องตอบโต้เรื่องดังกล่าวว่า เป็นการสร้างข่าวเท็จบิดเบือน ใช้วิธีการสกปรกหวังทำลายภาพลักษณ์ของไทย เรื่องแบบนี้จะมีก็แต่คนเขมรเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนชาวโลกน่าจะรู้สึกสมเพชมากกว่า

คงไม่ต่างกันกับกรณีที่สื่อเขมรได้ทำการสรรเสริญ ยกหางเชลยศึกรายหนึ่งที่ได้รับการปล่อยตัวจากฝั่งไทย และถูกส่งตัวกลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนอีกครั้ง ทั้งที่ ทหารรายดังกล่าวมีอาการทางจิตเวชจากความเครียดระหว่างการสู้รบ อันเป็นเหตุผลให้ทางกองทัพบกไทยได้ทำการปล่อยตัวเพื่อให้กลับไปบำบัดรักษา แต่กลายเป็นว่าผู้นำกองทัพเขมรไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ถือว่า เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ และละเมิดหลักมนุษยธรรมสากล เช่นนี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าผู้นำเขมรให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขนาดไหน สมควรที่จะถูกประณามหรือไม่

เหล่านี้อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องของเขมร ไม่เกี่ยวข้องกับไทย ทว่าเมื่อเป็นข้อมูลที่ทำให้เห็นความป่าเถื่อน หรือไร้มนุษยธรรม นอกจากทางกองทัพจะตอบโต้จนถูกมองว่าเป็นการทำสงครามข่าวสาร กระทรวงการต่างประเทศก็ควรแสดงบทบาทในการสื่อสารให้ชาวโลกได้รับรู้ด้วย เหมือนที่ฝ่ายเขมรใช้ข่าวเท็จให้ร้ายประเทศไทยมาโดยตลอด หากเราใช้วิธีเดียวกันแต่เป็นการสื่อสารที่มีข้อมูล ข้อเท็จจริงซึ่งผ่านการพิสูจน์ทราบมาแล้ว นั่นย่อมเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย

ส่วนการเมืองว่าด้วยการช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งที่จะมาถึง จากการเป็นฝ่ายกุมอำนาจ และแรงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมโดยเฉพาะกลไกที่ถูกจัดวางไว้โดยเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำให้เสี่ยหนูและพรรคสีน้ำเงินมั่นใจมากว่า จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นพรรคอันดับ 1 ได้ เรื่องราวที่ถาโถมเข้าใส่ ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงนี้เป็นตัวบ่งชี้สถานการณ์ และทิศทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ว่าในทางการเมืองนักเลือกตั้งไม่มีใครวางใจได้ เพราะขึ้นชื่อว่าการเมืองมีโอกาสพลิกผันได้ตลอดเวลา ประเภทสะดุดขาตัวเองหัวคะมำ มีให้เห็นมานักต่อนัก แต่ด้วยพลังอันวิเศษที่หนุนหลังเหตุการณ์รถผ้าป่าคว่ำจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น

อรชุน

Back to top button