
‘ไอพีโอ’ ไม่ใช่สนามเก็งกำไรสั้นอีกต่อไป! เปิดแผน เปลี่ยนเกมตลาดหุ้นไทย
จากปัญหาการต่ำจองของหุ้นไอพีโอในวันแรกในช่วงที่ผ่านมา ที่เกิดจากพฤติกรรม “เก็งกำไร” หรือ “ความหวังรวยระยะสั้น” ของผู้ลงทุน ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เทขายหุ้น
จากปัญหาการต่ำจองของหุ้นไอพีโอในวันแรกในช่วงที่ผ่านมา ที่เกิดจากพฤติกรรม “เก็งกำไร” หรือ “ความหวังรวยระยะสั้น” ของผู้ลงทุน ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เทขายหุ้นออกมานั้น
สำหรับบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแล (ตลท.–ก.ล.ต.) ควรประสานการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้ประกอบการ (Issuer) เพื่อยกระดับความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย โดยมีแนวทางที่อาจพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
1.ยกระดับมาตรฐานการคัดเลือกบริษัทที่เข้าตลาด
การตั้งเกณฑ์คุณภาพธุรกิจที่ชัดเจนกว่าเดิม โดยคัดกรองธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงหรือไม่โปร่งใสออกไปก่อนเสนอขาย
ในทางกลับกันควรส่งเสริมให้บริษัทที่มีเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือโอกาสเติบโตสูงเข้าตลาดให้มีปริมาณที่มากขึ้น
โดยส่งเสริมบริษัทคุณภาพใหม่ ๆ เข้าตลาด ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจเทคโนโลยี, DeepTech, Digital, Healthcare
นอกจากนี้ การหา Startup ที่ผ่านเกณฑ์ความสามารถเติบโตจริง ซึ่งสามารถหาได้จาก กระดาน LiVe
สิ่งเหล่านี้ จะทำให้นักลงทุนมอง หุ้นไอพีโอเป็นโอกาสของการลงทุนในหุ้นคุณภาพ ไม่ใช่ความเสี่ยง
2.ปรับปรุงการกำหนดราคาหุ้นไอพีโอให้เป็นสากล
สำหรับวิธีการกำหนดราคาหุ้นไอพีโอ ควรเพิ่มการใช้ Book-building หรือ การกำหนด Pricing ที่สะท้อนอุปสงค์ตลาดจริง
ป้องกันราคา “ตั้งสูงเกินไป” เพื่อปิดความเสี่ยงการร่วงหลังเข้าซื้อขายวันแรก
วิธีการนี้ จะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นของตลาดให้เพิ่มขึ้นตามราคาที่เหมาะสมภายหลังการ pricing ราคาหุ้น
3.การเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูลก่อนขายไอพีโอ
การกำหนดรูปแบบข้อมูลให้เข้าใจง่ายและ มีตัวเปรียบเทียบได้ในแง่ของ แบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย
นอกจากนี้ ต้องบังคับให้มีการเปิดเผยแผนธุรกิจที่ชัดเจน ตัวเลขคาดการณ์ และความเสี่ยง อย่างชัดเจน และเห็นได้ง่ายไม่ซ่อนเร้น
สิ่งนี้ ทำให้นักลงทุนตัดสินใจจากข้อมูลจริง ๆ ที่มีการเปิดเผย ไม่ใช่การตลาด หรือข่าวพีอาร์ ประชาสัมพันธ์จากบริษัท
4.เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร (CG)
การเพิ่มมาตรฐานในการคัดเลือกคณะกรรมการอิสระ การตรวจสอบโครงสร้างกรรมสิทธิ์ที่ซับซ้อน
รวมถึง การบังคับเปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ภายในองค์กร เพื่อลดความเสี่ยง จากการทุจริตหรือการใช้ข้อมูลวงใน
5.พัฒนาคุณภาพ FA-อันเดอร์ไรเตอร์
ควรออกเกณฑ์ประเมินผลงาน FA (ที่ปรึกษาทางการเงิน) และจัด Ranking คุณภาพ
ในทางกลับกัน ควรลงโทษ FA ที่ยื่นข้อมูลบิดเบือน หรือให้ข้อมูลหุ้นไอพีโอแบบไม่ครบถ้วน และควรส่งเสริมการแข่งขันทางด้าน คุณภาพมากกว่าการตัดราคา เพื่อลดค่าบริการ หวังดึงลูกค้าเข้ามา
6.สร้างระบบ Aftermarket Support
ในหุ้นไอพีโอ ภายหลังจากที่เข้าเทรดแล้ว ควรมี Market Maker หรือผู้ดูแลสภาพคล่องในช่วงแรก เพื่อป้องกันไม่ให้มีความผันผวนที่มากเกินไป
โดยอาจจะมีการตั้งเกณฑ์การติดตามผลหลัง IPO (Post-IPO Monitoring) ให้บริษัทรายงานความคืบหน้าแผนธุรกิจตามที่ประกาศไว้
7.เพิ่มการให้ความรู้-ความเข้าใจให้ผู้ลงทุน
ควรจัดให้มีโรดโชว์ หุ้นไอพีโอก่อนเข้าตลาดทุกบริษัท เพื่อทำความเข้าใจให้กับผู้ลงทุน ในการลงทุนระยะยาว
ให้ออกบทวิเคราะห์จากหน่วยงานกลางที่ไม่ใช่โบรกเกอร์ที่ขายหุ้น หรือมีผลประโยชน์ กับหุ้นตัวนั้น
รวมถึง ออกบทวิเคราะห์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเปรียบเทียบธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน
สิ่งนี้จะทำให้ นักลงทุนเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน
การแก้ปัญหาหุ้นไอพีโอ ต่ำจองต้องยกระดับคุณภาพทั้งระบบ ตั้งแต่การคัดเลือกบริษัท วิธีการกำหนดราคา การเปิดเผยข้อมูล ความโปร่งใส การดูแลหลังเข้าตลาด จนถึงการให้ความรู้ผู้ลงทุน
เพราะเป้าหมายคือสร้างตลาดไอพีโอที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และเน้นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น
อึ้งย้ง