
THAI-BA กอดคอวิ่ง!ลุยศูนย์ซ่อม “อากาศยานอู่ตะเภา” หมื่นล้าน ร่วมแบ่งพื้นที่บริหาร
THAI-BA กอดคอวิ่ง! ลุยลงทุนศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา 1 หมื่นล้าน ตั้ง 2 บริษัทย่อย BA ร่วมแบ่งพื้นที่บริหารรองรับฝูงบิน 150 ลำ หนุนรายได้ปีละ 5,000 ล้านบาท ยกระดับไทยสู่ MRO อาเซียน โบรกมองดีลเชิงยุทธศาสตร์ ราคาเป้าสูงสุด 13.30 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 พ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)หรือ THAI ณ เวลา 10:12 น. อยู่ที่ระดับ 9.35 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.08% สูงสุดที่ระดับ 9.55 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 9.35 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 104.88 ล้านบาท
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ณ เวลา 10:15 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 14.80 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 14.70 บาท สูงสุดที่ระดับ 15.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 17.56 ล้านบาท
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือ EEC เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในเขต EEC ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาว่า ขณะนี้ EEC ได้เจรจากับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เพื่อเป็นผู้ลงทุนเช่าพื้นที่จำนวน 210 ไร่เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย THAI จะมีขั้นตอนเสนอคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่กับ EEC ได้ภายในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งเบื้องต้น THAI แจ้งว่าจะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินโครงการ ส่วนจะมีการร่วมทุนกับเอกชนรายใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เป็นรายละเอียดของ THAI ที่จะดำเนินการเอง โดยประเมินมูลค่าโครงการไว้ที่ 10,000 ล้านบาท ระยะเวลาเช่า 50 ปี
สำหรับโครงการ MRO นี้ จะมีผลตอบแทนแก่ EEC 2 ส่วน คือ 1. ค่าเช่าพื้นที่ และ 2. การแบ่งปันผลประโยชน์ จากส่วนแบ่งรายได้แบบขั้นบันได โดยช่วงปีที่ 1-4 เป็นการเริ่มต้นโครงการ จะเก็บค่าเช่าพื้นที่อย่างเดียว และเริ่มคิดส่วนแบ่งรายได้ในปีที่ 5 โดยกำหนดอัตราดังนี้ ปีที่ 5-10 คิดส่วนแบ่งรายได้ 3%, ปีที่ 11-15 คิดส่วนแบ่งรายได้ 5% และปีที่ 15 เป็นต้นไป คิดส่วนแบ่งรายได้ 7%
นายจุฬา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากลงนามร่วมกันในเดือนมกราคม 2569 แล้ว THAI จะดำเนินการออกแบบและก่อสร้าง และการขออนุญาตต่าง ๆ รวมถึงการหาซัพพลายเออร์ ลูกค้า เป็นต้น ส่วนจะเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569 เลยหรือไม่ขึ้นอยู่กับ THAI เพราะถือว่าได้เช่าพื้นที่ไปแล้ว สามารถเริ่มเปิดให้บริการได้เร็ว THAI ก็จะมีรายได้เร็วไปด้วย
ทั้งนี้โครงการ MRO จะเป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และรองรับการซ่อมบำรุงเครื่องบินในระดับการซ่อมใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีที่ประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นเมื่อ MRO เกิดขึ้น จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งการผลิตชิ้นส่วนของเครื่องบินและซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวเนื่องตามมาอีกคิดเป็นมูลค่ามหาศาล และหลังจากนี้ EEC จะมีการเปิดพัฒนาพื้นที่อีกประมาณ 50 ไร่ ใกล้กับ MRO เพื่อรองรับบริการเครื่องบินส่วนตัว (Private Jet) อีกด้วย
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI เปิดเผยว่า ล่าสุด THAI ได้ทำการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ 2 บริษัท ได้แก่ 1. บริษัท ไทย เอ็ม อาร์ โอ เซอร์วิสเซส จำกัด (Thai MRO Services Company Limited) และ 2. บริษัท ไทย เอ็ม อาร์ โอ กรุ๊ป จำกัด (Thai MRO Group Company Limited) โดยทั้ง 2 บริษัทถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจด้านการซ่อมบำรุงอากาศยาน มีทุนจดทะเบียนบริษัทละ 1 ล้านบาท (ประมาณ 30,997 ดอลลาร์สหรัฐ) และทุนชำระแล้วเริ่มต้นที่ 250,000 บาท (ประมาณ 7,749 ดอลลาร์สหรัฐ) และถือหุ้นโดย THAI 100%
โดยโครงการนี้ THAI ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA แต่มิใช่การนำเงินมาลงทุนร่วมกันในลักษณะการร่วมทุน แต่จะอยู่ในลักษณะการแบ่งพื้นที่ดำเนินการ โดยต่างฝ่ายต่างลงทุน บริหารและจัด เก็บรายได้ของตัวเอง ซึ่งจะมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากกว่า
สำหรับพื้นที่โครงการ MRO ดังกล่าวมีจำนวน 210 ไร่ และ THAI จะแบ่งให้ BA บริหารประมาณ 30 ไร่ ส่วนที่เหลือ THAI จะเป็นผู้บริหาร เนื่องจากมีฝูงบินมากกว่า BA โดยเป้าหมายหลักที่ THAI ต้องการลงทุน MRO นั้น ก็เพื่อมารองรับฝูงบินใหม่ของ THAI ที่จะเติบโตขึ้นจนถึง 150 ลำในปี 2576 และส่วนที่เหลือค่อยให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่น ๆ ต่อไป
โดยระยะแรกจะสามารถรองรับการซ่อมบำรุงอากาศยานได้ปีละ 90 ลำ ซึ่งเป้าหมายลูกค้าเป็นสายการบินในไทย ทำให้ไม่ต้องส่งซ่อมในต่างประเทศ คาดว่าจะสร้างรายได้ปีละ 4-5 พันล้านบาท จากนั้นจะทยอยเพิ่มโรงซ่อมรองรับกับความต้องการ
ด้านรายละเอียดการลงทุนนั้น THAI จะมีการก่อสร้างโรงซ่อมบำรุง (Hangar) รวม 6 Hangar แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะลงทุนก่อสร้าง 3 Hangar พร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง วงเงินลงทุน 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้เริ่มการก่อสร้างในปี 2570 ใช้เวลาประมาณ 3 ปี ขณะเฟสที่ 2 จะก่อสร้างอีก 3 Hangar แต่วงเงินลงทุนน้อยกว่า เนื่องจากมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นไว้ตั้งแต่เฟสที่ 1 แล้ว โดย MRO ดังกล่าวจะสามารถรองรับได้ทั้งเครื่องบินแบบลำตัวกว้าง (Wide-body aircraft) และลำตัวแคบ (Narrow-body aircraft) และจะให้บริการซ่อมบำรุงตั้งแต่การซ่อมย่อย หรือซ่อมขั้นลานจอด และการซ่อมใหญ่ (Overhaul)
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ Aviation Hub ของประเทศ เพราะศูนย์ซ่อมฯ เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของอุตสาหกรรมการบิน (คน-เครื่อง-ของ) ผลดีหลัก ๆ ธุรกิจ MRO เป็นธุรกิจที่มีรายได้ต่อเนื่องจากการซ่อมบำรุงเครื่องบินเชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ในภาพใหญ่ประเทศจะสามารถรองรับเครื่องบินจากภูมิภาคได้มากขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นฐานซ่อมเครื่องบินระดับอาเซียน
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงแผนการลงทุนโครงการ MRO ของ THAI ว่า จากการประชุมนักวิเคราะห์ร่วมกับผู้บริหาร THAI นั้น ได้รับทราบข้อมูลว่า เป้าหมายหลักของการลงทุน MRO คือ เพื่อรองรับฝูงบินของ THAI ที่จะเติบโตขึ้นในอนาคตจากปัจจุบันปี 2568 อยู่ที่ 78 เป็น 150 ลำในปี 2576 และหากยังมีกำลังการผลิตเหลือจึงจะให้บริการแก่ลูกค้าภายนอก ซึ่งเป้าหมายหลักดังกล่าวจะช่วยให้ THAI บริหารความเสี่ยงการซ่อมบำรุงได้อย่างมาก เพราะไม่ต้องรอคิวเข้าซ่อม หรือรออะไหล่เครื่องบิน สามารถซ่อมบำรุงได้เร็วและนำเครื่องบินหมุนกลับมาให้บริการได้เร็ว แม้จะมีแผนเชิญชวนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการบินมาเช่าพื้นที่ช่วงต่อจาก THAI แต่ประเมินว่าคงไม่มากนัก เนื่องจาก MRO มีพื้นที่ 210 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องใช้สำหรับจอดเครื่องบินรอคิวซ่อม
ด้านแนวโน้มผลประกอบการของ THAI นั้น ประเมินว่าปีนี้จะเป็นจุดสูงสุดของผลประกอบการแล้ว โดยคาดว่า THAI จะมีรายได้ทั้งปีที่ 1.54 แสนล้านบาท ไม่น่าจะใกล้เคียง 1.9 แสนล้านบาทเช่นที่ผู้บริหาร THAI เคยตั้งเป้าไว้ เนื่องจากช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย. 2568) THAI มีรายได้รวมที่ 1.15 แสนล้านบาท โดยไตรมาส 1/2568 (ม.ค.-มี.ค. 2568) เป็นไตรมาสที่รายได้สูงสุดคือ 4.32 หมื่นล้านบาท ซึ่งไตรมาส 4 นี้ น่าจะต่ำกว่าไตรมาสแรก และประเมินว่าในปี 2568 THAI จะมีกำไรที่ 3.45 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2569 ประเมินว่ารายได้จะใกล้เคียงกับปี 2568 แต่กำไรจะลดลง
ทั้งนี้เนื่องจากปี 2569 THAI จะมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นจากการรับมอบเครื่องบินเช่าเข้ามามากขึ้น คือ A321neo (ลำตัวแคบ) และ B787-9 (ลำตัวกว้าง) และเมื่อฝูงบินเพิ่มขึ้นก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมาทั้งค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน และค่าน้ำมันเครื่องบิน ซึ่ง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ราคาน้ำมันเครื่องบินปรับลดลงผิดปกติ แต่ปี 2569 ราคาจะกลับไปปรับตัวสูงขึ้นโดยเห็นได้จากไตรมาส 4 นี้ที่ราคาน้ำมันเครื่องบินเริ่มกลับมาสูงเทียบเท่าปี 2567 แล้ว
นอกจากนี้ THAI มีแผนปลดระวางเครื่องบินรุ่น B777-200ER อีกประมาณ 4 ลำในปี 2569 ซึ่งจะต้องมีการบันทึกด้อยค่าเครื่องบินด้วย คงคำแนะนำ “ถือ” THAI โดยอยู่ระหว่างปรับมูลค่าเหมาะสม ซึ่งน่าจะออกมาใกล้เคียงราคาตลาด
จากการรวบรวมข้อมูลของนักวิเคราะห์ (Analyst Consensus) สำหรับหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับราคาเป้าหมายและประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปี 2568 (2568F) ดังนี้ ราคาเป้าหมาย (2568F) ราคาเฉลี่ย (Average) 10.42 บาท ราคาสูงสุด (High) 13.30 บาท และ ราคาต่ำสุด (Low): 8.30 บาท
ขณะที่ประมาณการกำไรสุทธิ (2568F) กำไรสุทธิเฉลี่ย (Average) 34,865.30 ล้านบาท กำไรสุทธิสูงสุด (High) 37,153 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่ำสุด (Low) 29,223 ล้านบาท
